กระแสน้ําในมหาสมุทรที่อ่อนตัวลง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้อย่างไร

Leo Migdal
-
กระแสน้ําในมหาสมุทรที่อ่อนตัวลง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้อย่างไร

มหาสมุทรไม่ใช่เพียงแค่ผืนสีน้ำเงินกว้างใหญ่เท่านั้น แต่มันมีชีวิต เคลื่อนไหวตลอดเวลา หายใจ ปั่นป่วน และตอนนี้กำลังอ่อนแอลงในรูปแบบที่เรียกได้ว่า วิกฤต โดยเฉพาะระบบหมุนเวียนของกระแสน้ำแอตแลนติกเมริไดโอแนล (AMOC) ซึ่งเป็นสายพานลำเลียงมหึมาของกระแสน้ำอุ่นและเย็น ช่วยควบคุมรูปแบบสภาพอากาศ รักษาเสถียรภาพของอุณหภูมิ และแม้แต่กำหนดปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ห่างไกลของโลก แต่ตอนนี้ระบบกระแสน้ำขนาดใหญ่นี้ในมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังอ่อนแอและชะลอตัวลง และนั่นอาจนำไปสู่หายนะได้ โดยกระแสน้ำแอตแลนติกเมริไดโอแนลเป็นเหมือนตัวควบคุมสภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติของโลก มันเคลื่อนย้ายน้ำอุ่นจากเขตร้อนขึ้นไปยังยุโรป ทำให้ฤดูหนาวที่นั่นอุ่นขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกันน้ำเย็นไหลกลับไปทางใต้ช่วยรักษาสมดุลของระบบนี้ ซึ่งระบบนี้มีอายุยาวนาน ทรงพลัง จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้มีบางสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับมหาสมุทร นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตเห็นพื้นที่ที่มีการเย็นลงผิดปกติในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ มักเรียกว่า cold blob (ก้อนเย็น) ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะเมื่อโลกอุ่นขึ้น อุณหภูมิของมหาสมุทรควรจะสูงขึ้น ไม่ใช่ลดลง จุดเย็นนี้บ่งชี้ถึงปัญหาที่ลึกซึ้งกว่า โดยเกี่ยวข้องกับกระแสน้ำอ่าวเม็กซิโก (Gulf Stream) ที่เป็นส่วนสำคัญของ AMOC กระแสน้ำอ่าวเม็กซิโกปกติจะพาน้ำอุ่นไปทางเหนือ แต่ถ้ามันชะลอตัวลงหรืออ่อนแอลง น้ำอุ่นที่จะไปถึงพื้นที่นั้นจะลดลง ทำให้เกิดการเย็นลงที่ไม่คาดคิด ทั้งนี้ ผลกระทบของการรบกวนนี้ไม่ได้จำกัดแค่ในมหาสมุทร มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบลม ย้ายตำแหน่งและปริมาณฝนที่ตก และทำให้สภาพอากาศสุดขั้ว อาทิ พายุ ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน มีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน และชีวิตประจำวันทั่วโลก ทีมวิจัยจากกลุ่มความเป็นเลิศด้านการวิจัยสภาพภูมิอากาศ (CLICCS) ของมหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก และสถาบันแม็กซ์ แพลงค์ ด้านอุตุนิยมวิทยา ได้ศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด ข้อสรุปของพวกเขาคือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่กระแสน้ำแอตแลนติกเมริไดโอแนลอ่อนแอลงอาจสูงถึงหลายล้านล้านยูโรภายในปลายศตวรรษนี้ “กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้” (Antarctic Circumpolar Current) เป็นกระแสน้ำตามเข็มนาฬิกาที่แรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่เชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียถึง 5 เท่า อีกทั้งแรงกว่าแม่น้ำแอมะซอน 100 เท่า นับเป็นกระแสน้ำที่มีบทบาทสำคัญในระบบสภาพอากาศ โดยมีอิทธิพลต่อการดูดซับความร้อนและคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทร และป้องกันไม่ให้น้ำอุ่นไหลไปถึงแอนตาร์กติกา

กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters เผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างน้ำแข็งละลายจากชั้นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา และกระแสน้ำรอบขั้วโลกที่ไหลช้าลง ซึ่งเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากมีรายงานอีกฉบับที่พบว่า กระแสน้ำที่สำคัญในมหาสมุทรแอตแลนติกจะอ่อนกำลังลง นักวิจัยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และ Gadi เครื่องจำลองสภาพอากาศที่เร็วที่สุดของออสเตรเลีย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การละลายของน้ำแข็ง และสภาพลมที่มีต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โดยแบบจำลองนี้จับภาพคุณลักษณะที่คนอื่นมักมองข้าม เช่น กระแสน้ำวน ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่แม่นยำกว่ามาก ในการคาดการณ์อนาคตนี้ พบว่า น้ำแข็งที่ละลายจากทวีปแอนตาร์กติกาจะอพยพไปทางเหนือและเติมเต็มมหาสมุทรที่ลึกลงไป ส่งผลให้โครงสร้างความหนาแน่นของมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ถือเป็น “การปรับโครงสร้างใหม่ของพลวัตของมหาสมุทรใต้” กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้ ด้วยพลังการเคลื่อนตัวที่แรงกว่ากระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม (AMOC) ถึง 5 เท่า และไหลเชี่ยวกรากยิ่งกว่าแม่น้ำแอมะซอนถึง 100 เท่า กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน, และแร่ธาตุสารอาหารไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยสายพานลำเลียงนี้เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน ทั้งยังทำหน้าที่ควบคุมสภาพภูมิอากาศของโลกทั้งใบด้วย

แต่ทว่าน้ำจืดเย็นที่ละลายออกมาจากน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา ได้เจือจางน้ำเค็มของมหาสมุทรแอนตาร์กติกให้มีความเข้มข้นลดลง จนถึงระดับที่อาจไปรบกวนกระแสน้ำสำคัญในมหาสมุทรดังกล่าวได้ ผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิจัยออสเตรเลีย จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเพิ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Research Letters ฉบับวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่ากระแสน้ำเอซีซีอาจไหลช้าและอ่อนแรงลงกว่าในปัจจุบันถึง 20% ภายในปี 2050 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสรรพชีวิตบนโลก กระแสน้ำเอซีซีนั้นเปรียบเสมือน "คูน้ำ" ซึ่งล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกาที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง โดยช่วยกั้นขวางไม่ให้กระแสน้ำอุ่นเข้ามาใกล้ จนสามารถปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่บอบบางไม่ให้ละลายได้ นอกจากนี้ กระแสน้ำเอซีซียังทำหน้าที่เหมือนกำแพงป้อมปราการ ซึ่งขัดขวางไม่ให้สิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานเข้ามา อย่างเช่นสาหร่ายทะเลกระทิงใต้ (southern bull kelp) ซึ่งมีขนาดใหญ่และเกาะตัวกันเป็นแพขนาดมหึมา เป็นที่โต้เถียงกันมานานในหมู่นักวิชาการ​ว่า วิกฤตโลกร้อนจะส่งผลให้ ‘การหมุนวนกระแสน้ำย้อนกลับ​ตามแนวเหนือ-​ใต้​ในมหาสมุทร​แอตแลนติก’​ (Atlantic Meridional Overturning Circulation)​ หรือ AMOC อาจเกิดการอ่อนแรงลงจนล่มสลายไปภายในศตวรรษนี้หรือไม่นั้น ล่าสุดมีงานวิจัยที่ค้นพบคำตอบนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านสมุทรศาสตร์และชั้นบรรยากาศจากมหาวิทยาลัยอูเทรกต์ (Utrecht University) ในเนเธอร์แลนด์ นำโดย เรอเน ฟาน เวสเทน (René van Westen) ทดลองสร้างแบบจำลองใหม่ โดยเปลี่ยนแนวคิดของแบบจำลองเดิมที่มักจะวัดค่าความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิกระแสน้ำและปริมาณการไหลของน้ำจืดในแอตแลนติกเหนือ มาเป็นการกระจายจุดสังเกตเป็น 3 ละติจูด อันได้แก่ 34°S ในแอตแลนติกใต้ปลายแหลมกู๊ดโฮป, 26°N ตามแนวอ่าวเม็กซิโก และ 60°N ทางใต้ของกรีนแลนด์ และเมื่อนำผลการตรวจวัดมาเข้าสูตรคำนวณร่วมกับข้อมูลที่ได้จากโครงการระบบโลกโดยชุมชนนักวิจัย (Community Earth System Model) หรือ CESM พบว่า การหยุดชะงักหรือล่มสลายของ ‘การหมุนวนกระแสน้ำย้อนกลับ​ตามแนวเหนือ-​ใต้​ในมหาสมุทร​แอตแลนติก’...

เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมกรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 51°30’ N กลับมีอากาศที่อบอุ่นกว่าเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ที่ละติจูด 43°3’51 ทั้งที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า คำตอบคือ โลกเราเฉลี่ยอุณหภูมิโดยอาศัยการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร ดุจสายพานลำเลียงความร้อน-ความเย็นขนาดยักษ์ จุดเริ่มต้นการทำงานของสายพานนี้อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือใกล้เกาะกรีนแลนด์ สภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นจะทำให้น้ำทะเลบริเวณนี้และด้านเหนือขึ้นไปแข็งตัวและก่อให้เกิดแผ่นน้ำแข็งปกคลุม ขณะที่ผิวของน้ำทะเลกำลังก่อตัวเป็นน้ำแข็ง เกลือที่ละลายอยู่ในน้ำทะเลชั้นบนจะถูกดันลงไปอยู่ในน้ำทะเลชั้นล่าง ทำให้มวลของน้ำทะเลชั้นล่างหนักขึ้น เมื่อน้ำอุ่นจากกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมทางใต้ไหลขึ้นเหนือมาถึงบริเวณนี้ก็จะจมลงกลายเป็นกระแสน้ำเย็นไหลกลับลงทางใต้อีกครั้ง จากนั้นก็จะไหลกระจายไปสู่มหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก กระแสน้ำเย็นที่ไหลลึกนี้จะกลับเป็นน้ำอุ่นอีกครั้งในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก จากนั้นก็ไหลกลับมาครบวงจร การไหลขึ้นของน้ำอุ่นทำให้ยุโรปเหนือมีอากาศที่อุ่นกว่าฝั่งญี่ปุ่น การไหลลงของน้ำลึกที่เย็นจะพาเอาสารอาหารลงสู่ทางใต้ รวมทั้งรักษาอุณหภูมิของประเทศแถบศูนย์สูตรไม่ให้ร้อนเกินไป โลกจึงมีสมดุลทางอุณหภูมิดังที่เราคุ้นเคยมาตลอด จากการศึกษาใหม่พบว่ากระแสการไหลเวียนที่สำคัญของมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังจะล่มสลาย ซึ่งมีหลักฐานเพิ่มเติมบ่งชี้ว่าการหมุนเวียนพลิกกลับของมหาสมุทรแอตแลนติก (AMOC) กำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนแล้ว จากการศึกษาวิจัยได้สรุปว่ากระแสน้ำไหลเวียนพลิกกลับในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็น "สายพานลำเลียงของมหาสมุทร" ที่ลำเลียงน้ำอุ่นจากเขตร้อนไปทางเหนือสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ กำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยน หากการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ถูกต้อง การล่มสลายของกระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกจะมีผลกระทบอย่างมากต่อสภาพภูมิอากาศโลก Atlantic Meridional Overturning Circulation หรือ AMOC เป็นหนึ่งในกระแสน้ำหลักของโลกในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่ง AMOC มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร้อนและน้ำจืดรอบๆ มหาสมุทรแอตแลนติกผ่านเครือข่ายกระแสน้ำในมหาสมุทรลึกและกระแสน้ำในมหาสมุทรใกล้พื้นผิว ทำงานโดยการถ่ายโอนน้ำอุ่นและเค็มจากเขตร้อนผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เมื่อเข้าใกล้ขั้วโลกเหนือ จะเย็นตัวลงและก่อตัวเป็นน้ำแข็งในทะเล น้ำที่เหลือจะจมลงและถูกพัดลงไปทางใต้ในระดับความลึกด้านล่าง นั่นคือการเสร็จสิ้นวงจร

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กังวลคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้วงจรปั่นป่วนเกินกว่าจะซ่อมได้ การศึกษาจำนวนมากได้ชี้ให้เห็นว่ากระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก หรือ AMOC กำลังชะลอตัวและไหลในอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบหลายศตวรรษ กระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก หรือ AMOC ลดลง 15% ตั้งแต่ปี 1950 และอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุดในรอบกว่าพันปี ตามการวิจัยก่อนหน้านี้ที่กระตุ้นให้เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับการล่มสลายที่ใกล้เข้ามา การเริ่มต้น » สิ่งแวดล้อม » กระแสน้ำในมหาสมุทร: เกิดขึ้นได้อย่างไร ประเภท ผลกระทบ และความสำคัญ กระแสน้ำในมหาสมุทร คือ การเคลื่อนที่ของน้ำปริมาณมากในมหาสมุทรอย่างต่อเนื่องและมีทิศทางที่แน่นอน กระแสน้ำเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น การหมุนของโลก ลม อุณหภูมิของน้ำ และความเค็ม เป็นต้น กระแสน้ำในมหาสมุทรมีสองประเภทหลัก ได้แก่ กระแสน้ำผิวดิน ซึ่งเกิดขึ้นในมหาสมุทรชั้นบน และกระแสน้ำลึก ซึ่งเคลื่อนที่ในระดับความลึกของมหาสมุทร กระแสน้ำในมหาสมุทรมีบทบาทสำคัญในการลำเลียงสารอาหาร ความร้อน และพลังงานข้ามมหาสมุทร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งมีชีวิตในทะเล กระแสน้ำมีอิทธิพลต่อสภาพภูมิอากาศของภูมิภาคชายฝั่งโดยการลำเลียงน้ำอุ่นหรือน้ำเย็น และส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิของอากาศ นอกจากนี้ กระแสน้ำในมหาสมุทรยังสามารถลำเลียงวัสดุต่างๆ เช่น เศษพลาสติกและสารมลพิษ ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล การทำความเข้าใจกระแสน้ำในมหาสมุทรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการพยากรณ์อากาศ การเดินเรือ การประมง และการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเล การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับกระแสน้ำในมหาสมุทรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์มหาสมุทรและความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเล

กระแสน้ำในมหาสมุทรคือการเคลื่อนที่ของมวลน้ำที่หมุนเวียนอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งมีชีวิตในทะเล กระแสน้ำในมหาสมุทรสามารถจำแนกได้เป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ กระแสน้ำผิวดินและกระแสน้ำลึก การศึกษากระแสน้ำมีบทบาทสำคัญ ทั้งในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการจัดการสิ่งแวดล้อมชายฝั่งและมหาสมุทร แหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีอิทธิพลต่อระบบนิเวศทางทะเลและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่เท่านั้น แต่ยังมีส่วนรับผิดชอบต่อการลำเลียงมลพิษและสารอาหารไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและกิจกรรมของมนุษย์ในพื้นที่ชายฝั่งอีกด้วย การเข้าใจพฤติกรรมของคุณ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และการบรรเทาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศและสุขภาพ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โปรแกรมการสังเกตกระแสน้ำในมหาสมุทรมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยผสานรวมเทคโนโลยี ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการวิเคราะห์สหสาขาวิชา ความพยายามที่สะสมนี้ช่วยให้เราเข้าใจรูปแบบการหมุนเวียนและความแปรปรวนของรูปแบบเหล่านั้นรวมถึงผลกระทบที่ปรากฏการณ์เหล่านี้มีต่อภูมิภาคต่างๆ เช่น ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก อาร์กติก และแคริบเบียน <img decoding="async" src="https://www.meteorologiaenred.com/wp-content/uploads/2025/07/Corrientes-marinas.jpg" alt="corrientes marinas Baleares"/> รายงานล่าสุดโดย กลุ่มการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมดิเตอร์เรเนียนของสถาบันสมุทรศาสตร์สเปน (IEO-CSIC) ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับ พฤติกรรมของกระแสน้ำในช่องแคบบาเลียริกโดยเฉพาะในช่องแคบอิบิซาและมายอร์กา โดยใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมผ่านโปรแกรม RADMED และโครงการก่อนหน้า นักวิจัยตรวจพบแนวโน้มทั่วไปในการหมุนเวียนน้ำผิวดิน: กระแสน้ำใต้ในอิบิซาและกระแสน้ำเหนือในมายอร์กาแม้ว่ารูปแบบนี้จะได้รับอิทธิพลจากความแปรปรวนสูงมากซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในทิศทางและรูปร่างของมวลน้ำระหว่างเกาะต่างๆ ค่าเฉลี่ยสมดุลของน้ำที่ไหลผ่านทั้งสองช่องทางในทิศใต้ปรากฏว่า ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้บังคับให้มีการทบทวนแบบจำลองก่อนหน้าเกี่ยวกับพลวัตทางทะเลของพื้นที่ และโดยขยายไปถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก การศึกษานี้เป็นการศึกษาลำดับที่สามในชุด แสดงให้เห็นถึงผลงานที่สั่งสมมาหลายปีและเน้นย้ำถึง ความซับซ้อนและพลวัตของสภาพแวดล้อมทางทะเลของหมู่เกาะแบลีแอริก.

People Also Search

มหาสมุทรไม่ใช่เพียงแค่ผืนสีน้ำเงินกว้างใหญ่เท่านั้น แต่มันมีชีวิต เคลื่อนไหวตลอดเวลา หายใจ ปั่นป่วน และตอนนี้กำลังอ่อนแอลงในรูปแบบที่เรียกได้ว่า วิกฤต โดยเฉพาะระบบหมุนเวียนของกระแสน้ำแอตแลนติกเมริไดโอแนล (AMOC) ซึ่งเป็นสายพานลำเลียงมหึมาของกระแสน้ำอุ่นและเย็น

มหาสมุทรไม่ใช่เพียงแค่ผืนสีน้ำเงินกว้างใหญ่เท่านั้น แต่มันมีชีวิต เคลื่อนไหวตลอดเวลา หายใจ ปั่นป่วน และตอนนี้กำลังอ่อนแอลงในรูปแบบที่เรียกได้ว่า วิกฤต โดยเฉพาะระบบหมุนเวียนของกระแสน้ำแอตแลนติกเมริไดโอแนล (AMOC) ซึ่งเป็นสายพานลำเลียงมหึมาของกระแสน้ำอุ่นและเย็น ช่วยควบคุมรูปแบบสภาพอากาศ รักษาเสถียรภาพของอุณหภูมิ และแม้แต่กำหนดปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ห่างไกลของโลก แต่ตอนนี้ระบบกระแสน้ำขนาดใหญ่นี้ในมหาสมุ...

กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters

กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters เผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างน้ำแข็งละลายจากชั้นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา และกระแสน้ำรอบขั้วโลกที่ไหลช...

แต่ทว่าน้ำจืดเย็นที่ละลายออกมาจากน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา ได้เจือจางน้ำเค็มของมหาสมุทรแอนตาร์กติกให้มีความเข้มข้นลดลง จนถึงระดับที่อาจไปรบกวนกระแสน้ำสำคัญในมหาสมุทรดังกล่าวได้ ผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิจัยออสเตรเลีย จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเพิ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Research Letters ฉบับวันที่

แต่ทว่าน้ำจืดเย็นที่ละลายออกมาจากน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา ได้เจือจางน้ำเค็มของมหาสมุทรแอนตาร์กติกให้มีความเข้มข้นลดลง จนถึงระดับที่อาจไปรบกวนกระแสน้ำสำคัญในมหาสมุทรดังกล่าวได้ ผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิจัยออสเตรเลีย จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเพิ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Research Letters ฉบับวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่ากระแสน้ำเอซีซีอาจไหลช้าและอ่อนแรงลงก...

เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมกรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 51°30’ N กลับมีอากาศที่อบอุ่นกว่าเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ที่ละติจูด 43°3’51 ทั้งที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า คำตอบคือ โลกเราเฉลี่ยอุณหภูมิโดยอาศัยการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร

เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมกรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 51°30’ N กลับมีอากาศที่อบอุ่นกว่าเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ที่ละติจูด 43°3’51 ทั้งที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า คำตอบคือ โลกเราเฉลี่ยอุณหภูมิโดยอาศัยการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร ดุจสายพานลำเลียงความร้อน-ความเย็นขนาดยักษ์ จุดเริ่มต้นการทำงานของสายพานนี้อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือใกล้เกาะกรีนแลนด์ สภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นจะทำใ...

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กังวลคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้วงจรปั่นป่วนเกินกว่าจะซ่อมได้ การศึกษาจำนวนมากได้ชี้ให้เห็นว่ากระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก หรือ AMOC กำลังชะลอตัวและไหลในอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบหลายศตวรรษ กระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก หรือ AMOC ลดลง 15%

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กังวลคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้วงจรปั่นป่วนเกินกว่าจะซ่อมได้ การศึกษาจำนวนมากได้ชี้ให้เห็นว่ากระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก หรือ AMOC กำลังชะลอตัวและไหลในอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบหลายศตวรรษ กระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก หรือ AMOC ลดลง 15% ตั้งแต่ปี 1950 และอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุดในรอบกว่าพันปี ตามการวิจัยก่อนหน้านี้ที่กระตุ้นให้เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับการล่มสลายที่ใกล้เข้า...