การศึกษาเผย คลื่นความร้อนทางทะเลรุนแรง เพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วง 80 ปี
ลอนดอน, 18 เม.ย. (ซินหัว) — การศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสารโพรซีดดิงส์ ออฟ เดอะ เนชันนัล อคาเดมี ออฟ ไซเอนส์ (Proceedings of the National Academy of Sciences) เปิดเผยว่าจำนวนวันที่มหาสมุทรทั่วโลกเผชิญกับคลื่นความร้อนผิวน้ำทะเลระดับรุนแรง เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน นักวิจัยพบว่าในช่วงทศวรรษ 1940 ผิวน้ำทะเลทั่วโลกมีคลื่นความร้อนรุนแรงเฉลี่ยปีละราว 15 วัน แต่ในปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้นเกือบ 50 วันต่อปี โดยภาวะโลกร้อนเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเกือบครึ่งหนึ่งอนึ่ง คลื่นความร้อนทางทะเล หมายถึงช่วงเวลาที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าปกติอย่างมากและกินเวลาต่อเนื่องระยะหนึ่ง การศึกษาชิ้นนี้จัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากหลายสถาบัน ได้แก่ สถาบันเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อการศึกษาขั้นสูง มหาวิทยาลัยเรดดิง สถาบันวิทยาศาสตร์อวกาศนานาชาติ และมหาวิทยาลัยหมู่เกาะบาเลอาริก ซึ่งผลการศึกษายังพบว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เหตุการณ์คลื่นความร้อนทางทะเลมีแนวโน้มที่จะยาวนานขึ้นและรุนแรงมากยิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าคลื่นความร้อนทางทะเลสามารถทำลายระบบนิเวศใต้น้ำได้ อาทิ ทำให้แนวปะการังตาย ทำลายป่าสาหร่าย และเป็นอันตรายต่อทุ่งหญ้าทะเล ทั้งนี้ ผลกระทบจากคลื่นความร้อนทางทะเลยังลุกลามขยายออกไปไกลเกินกว่ามหาสมุทร โดยนักวิจัยเตือนว่าความถี่ที่เพิ่มขึ้นนี้อาจทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกมีเสถียรภาพน้อยลง และนำไปสู่พายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงและเกิดบ่อยมากขึ้นในบางภูมิภาค
ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super marine heat waves) “ระบบนิเวศทางทะเลไม่เคยเจอไม่เคยเจอคลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง จนระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขนาดนี้มาก่อน” โบยิน ฮวง นักสมุทรศาสตร์จากสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติกล่าว การศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences เปิดเผยว่าจำนวนวันที่มหาสมุทรทั่วโลกเผชิญกับคลื่นความร้อนผิวน้ำทะเลระดับรุนแรง เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน
งานวิจัยใหม่พบว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า ส่งผลให้พายุรุนแรงขึ้น ทำลายระบบนิเวศสำคัญ อย่าง ป่าสาหร่ายทะเลและแนวปะการัง ผลการศึกษาพบว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ส่งทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งความร้อนในทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินี้ไม่เพียงแต่จะทำให้พายุทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำลายระบบนิเวศทางทะเลที่สำคัญ เช่น ป่าสาหร่ายทะเลและแนวปะการัง นักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ราวครึ่งหนึ่งของคลื่นความร้อนในมหาสมุทร นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จะไม่เกิดขึ้นหากไม่มีภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล และคลื่นความร้อนไม่เพียงแต่เกิดบ่อยครั้งขึ้นเท่านั้น แต่ยังรุนแรงขึ้นด้วย ด้วยมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส แต่ในบางพื้นที่อาจร้อนกว่านั้นมาก งานวิจัยนี้เป็นการประเมินผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มีต่อคลื่นความร้อนในมหาสมุทรทั่วโลกอย่างครอบคลุมเป็นครั้งแรก และยังเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง โดยระบุว่า มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้น้อยลง ซึ่งเป็นตัวเร่งอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นอีก ดร.มาร์ต้า มาร์กอส (Dr Marta Marcos) จากสถาบันศึกษาเมดิเตอร์เรเนียนในเมืองมายอร์กาของสเปน ซึ่งเป็นผู้นำการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ระบุว่า ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีคลื่นความร้อนในทะเลที่ร้อนกว่าอุณหภูมิปกติถึง 5 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นเรื่องแย่มากเมื่อลงไปว่ายน้ำ เนื่องจากน้ำร้อนเหมือนซุป มหาสมุทรเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างแยกจากกันไม่ได้ โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสนับสนุนชีวิตบนบกอีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งในอดีตนั้นคลื่นความร้อนในทะเลไม่เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์จากสมาคมชีววิทยาทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ทั่วโลกได้ชี้ว่า ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน “ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว “และเมื่อคลื่นความร้อนใต้ทะเลยังคงเพิ่มขึ้น เราก็มีแนวโน้มที่จะเห็นการสูญเสียสายพันธุ์และระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้นทั่วโลก” ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate Change ทีมวิจัยได้เปิดเผยว่าในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 และ 2024 ที่ผ่านมานั้นมีวันที่เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 240% เมื่อเทืยบกับสถิติเดิม การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ชีวิตต่าง ๆ ต้องดิ้นรนมากขึ้นทั้งในแนวปะการัง การประมง และชุมชนชายฝั่ง ในยุโรปนั้นคลื่นความร้อนในทะเลทำให้อุณหภูมิพื้นดินในหมู่เกาะอังกฤษสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทำให้ประชากรปลาได้รับผลกระทบอย่างหนัก ในขณะที่หลายคนเฝ้ามองอุณหภูมิบกและโอดครวญกับอากาศร้อนจัดที่แผดเผาเมืองแต่มีอีก “พลังงานเงียบ” ที่กำลังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในที่ที่คนทั่วไปไม่ทันสังเกตใต้ผืนน้ำมหาสมุทรนั่นเอง
จากข้อมูลวิจัยล่าสุดพบว่า ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมาคลื่นความร้อนทางทะเลได้เพิ่มความรุนแรงและความถี่ขึ้นถึง 3 เท่า นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงานวิทยาศาสตร์ แต่คือสัญญาณอันตรายที่สะท้อนว่ามหาสมุทรโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ้ง คลื่นความร้อนทางทะเล (Marine Heatwaves) คือปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะเวลาต่อเนื่อง โดยมักกินเวลาตั้งแต่หลายวันจนถึงหลายเดือน และขยายวงกว้างจากภูมิภาคหนึ่งไปสู่อีกภูมิภาคหนึ่ง โดยสาเหตุหลักคือการสะสมความร้อนจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ผลกระทบของคลื่นความร้อนทางทะเลไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งแวดล้อมทางทะเลเท่านั้นแต่ยังสะเทือนถึงผู้คนที่พึ่งพาทรัพยากรทะเลเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิของผิวน้ำทะเลมีผลโดยตรงต่อการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน เช่น ไต้ฝุ่น เฮอร์ริเคน หรือไซโคลน ซึ่งพายุเหล่านี้ต้องใช้ “พลังงานความร้อนจากน้ำทะเล” เป็นเชื้อเพลิงเมื่อคลื่นความร้อนทางทะเลเกิดบ่อยขึ้น น้ำทะเลก็กลายเป็นแหล่งพลังงานมหาศาลให้กับพายุหมุนเขตร้อน จนทำให้ การเกิดพายุระดับ 4 หรือ 5 อาจกลายเป็นเรื่องธรรมดาในอนาคต หากเรายังไม่จัดการปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง
People Also Search
- การศึกษาเผย "คลื่นความร้อนทางทะเลรุนแรง" เพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วง 80 ปี
- ศึกษาเผย 'คลื่นความร้อนทางทะเลรุนแรง' เพิ่มขึ้น 3 เท่าใน 80 ปี
- คลื่นความร้อนในทะเล รุนแรงขึ้น 3 เท่าใน 80 ปี ต้นเหตุพายุเกิดบ่อยขึ้น ...
- คลื่นความร้อนพุ่ง 3 เท่า เสี่ยงพายุหมุนเขตร้อนรุนแรง l TNN ข่าวเช้า l ...
- 'ทะเลเดือด' เป็นประวัติการณ์ เจอคลื่นความร้อนรุนแรง เกิดภัยพิบัติตลอดปี
- คลื่นความร้อนทางทะเล Archives - BCG
- วิกฤตภูมิอากาศทำคลื่นความร้อนในมหาสมุทรนานขึ้น 3 เท่า
- TV5Plus - คลื่นความร้อนทางทะเลรุนแรง เพิ่มขึ้น 3 เท่าใน 80 ปี — ผลกระทบ ...
- นักวิทยาศาสตร์เตือนสถานการณ์คลื่นความร้อนในทะเลกำลังวิกฤต หลังพบเจอถี่ ...
- ทะเลกำลังเดือดคลื่นความร้อนทางทะเลพุ่ง 3 เท่าใน 80 ปี จุดชนวนพายุรุนแรง ...
ลอนดอน, 18 เม.ย. (ซินหัว) — การศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสารโพรซีดดิงส์ ออฟ เดอะ เนชันนัล อคาเดมี
ลอนดอน, 18 เม.ย. (ซินหัว) — การศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสารโพรซีดดิงส์ ออฟ เดอะ เนชันนัล อคาเดมี ออฟ ไซเอนส์ (Proceedings of the National Academy of Sciences) เปิดเผยว่าจำนวนวันที่มหาสมุทรทั่วโลกเผชิญกับคลื่นความร้อนผิวน้ำทะเลระดับรุนแรง เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน นักวิจัยพบว่าในช่วงทศวรรษ 1940 ผิวน้ำทะเลทั่วโลกมีคลื่นความร้อนรุนแรงเฉลี่ยปีละราว 15 วัน แต่ใ...
ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศา...
งานวิจัยใหม่พบว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า ส่งผลให้พายุรุนแรงขึ้น ทำลายระบบนิเวศสำคัญ อย่าง ป่าสาหร่ายทะเลและแนวปะการัง ผลการศึกษาพบว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ส่งทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3
งานวิจัยใหม่พบว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า ส่งผลให้พายุรุนแรงขึ้น ทำลายระบบนิเวศสำคัญ อย่าง ป่าสาหร่ายทะเลและแนวปะการัง ผลการศึกษาพบว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ส่งทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งความร้อนในทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินี้ไม่เพียงแต่จะทำให้พายุทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำลายระบบนิเวศทางทะเลที่สำคัญ เช่น ป่าสาหร่ายทะเลแล...
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์จากสมาคมชีววิทยาทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ทั่วโลกได้ชี้ว่า ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน “ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้”
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์จากสมาคมชีววิทยาทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ทั่วโลกได้ชี้ว่า ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน “ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดั...
จากข้อมูลวิจัยล่าสุดพบว่า ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมาคลื่นความร้อนทางทะเลได้เพิ่มความรุนแรงและความถี่ขึ้นถึง 3 เท่า นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงานวิทยาศาสตร์ แต่คือสัญญาณอันตรายที่สะท้อนว่ามหาสมุทรโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ้ง คลื่นความร้อนทางทะเล (Marine
จากข้อมูลวิจัยล่าสุดพบว่า ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมาคลื่นความร้อนทางทะเลได้เพิ่มความรุนแรงและความถี่ขึ้นถึง 3 เท่า นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงานวิทยาศาสตร์ แต่คือสัญญาณอันตรายที่สะท้อนว่ามหาสมุทรโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ้ง คลื่นความร้อนทางทะเล (Marine Heatwaves) คือปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะเวลาต่อเนื่อง โดยมักกินเวลาตั้งแต่หลายวันจนถึงหลายเดือน และขยายวงกว้างจากภูมิภาคหนึ...