การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กําลังทําให้ฟอสฟอรัสในมหาสมุทรค่อย ๆ หายไป
รายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร PNAS เผยให้เห็นว่าอุณหภูมิที่สู่งขึ้นกำลังเปลี่ยนวัฏจักรสารอาหารสำคัญ ๆ ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของระบบนิเวศในมหาสมุทรไปในทิศทางที่คาดไม่ถึง “การศึกษาแบบจำลองชี้ให้เห็นว่าเมื่อมหาสมุทรอุ่นขึ้น น้ำจะแยกชั้นมากขึ้นซึ่งอาจดูดสารอาหารจากพื้นผิวมหาสมุทรบางส่วนได้” อดัม มาร์ตินี (Adam Martiny) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ระบบโลก นิเวศวิทยา และชีววิทยาวิวัฒนาการ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าว มหาสมุทรเป็นแหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเราโดยคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 97 ของน้ำบนโลกทั้งหมด แม้จะเป็นน้ำที่มนุษย์ไม่สามารถดื่มได้แต่มหาสมุทรก็มีบทบาทสำคัญในด้านอื่น ๆ โดยเป็นทั้งแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก เป็นตัวดูดซับความร้อนขนาดใหญ่ และผลิตออกซิเจนเกือบครึ่งหนึ่งที่เราใช้หายใจ อย่างไรก็ตามระบบธรรมชาติแห่งนี้กำลังถูกคุกคามอย่างหนักจากกิจกรรมของมนุษย์ทั้งมลพิษ การประมงที่มากเกินไป ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศซึ่งเกิดขึ้นในระดับที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นักวิทยาศาสตร์จึงสำรวจผลกระทบเหล่านั้นผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้านแล้วนำมาสร้างเป็นภาพที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น ทีมวิจัยที่นำโดย สกายลาร์ เจอราเซ (Skylar Gerace) นักศึกษาระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยได้วิเคราะห์ข้อมูลด้านสารอาหารซึ่งรวบรวมมากจากโครงการ ‘Global Ocean Ship-based Hydrographic Investigations Program (GO-SHIP)’ ซึ่งเป็นโครงการที่คอยเก็บข้อมูลทางสมุทรศาสตร์จากเรือวิจัยทั่วโลก ในฐานะมูลนิธิชุมชนแห่งเดียวสำหรับมหาสมุทร ภารกิจของ The Ocean Foundation คือการปรับปรุงสุขภาพของมหาสมุทรทั่วโลก ความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจสีน้ำเงิน เราสร้างความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงผู้คนทุกคนในชุมชนที่เราทำงานเข้ากับทรัพยากรข้อมูล เทคนิค และการเงินที่พวกเขาต้องการเพื่อบรรลุเป้าหมายการดูแลมหาสมุทร
ค้นหาวิธีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอนุรักษ์มหาสมุทร เพราะมหาสมุทรต้องการความทุ่มเทและทรัพยากรทั้งหมดของเรา เรามีบล็อกโพสต์และจดหมายข่าวที่เขียนโดยพนักงานและชุมชนของเรา ข่าวเด่น ข่าวประชาสัมพันธ์ และคำขอเสนอ เรามุ่งมั่นแสวงหาความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเกี่ยวกับปัญหามหาสมุทร ในฐานะมูลนิธิชุมชน เราให้ศูนย์ความรู้เป็นทรัพยากรฟรี เรียนรู้เกี่ยวกับไฟล์ #จดจำมหาสมุทร การรณรงค์ด้านสภาพอากาศ ในพื้นที่มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมีอัตรา ออกซิเจน อ่อนแอมากจนไม่สามารถวัดได้แส้หนีไปทาง บรรยากาศ- ภูมิภาคนี้ตั้งอยู่ในแปซิฟิกใต้ มีส่วนทำให้เกิดการสูญเสียมวลมหาสมุทรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature พบว่า นักวิทยาศาสตร์ ได้ระบุกลไกหลักที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งเผยให้เห็นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างวงจรระบาดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ El วงจรตบ เป็นกุญแจสำคัญสำหรับระบบนิเวศในมหาสมุทร การหยุดชะงักของมนุษย์ในวงจรนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง กิจกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะอุตสาหกรรมและการใช้ประโยชน์ ปุ๋ยเคมีได้ก่อให้เกิดกระแสการปนเปื้อนที่เป็นอันตรายในปริมาณที่เกินกว่าการไหลตามธรรมชาติ ปัจจุบัน กิจกรรมทางอุตสาหกรรมปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 90 ล้านตัน Azote (NOx) และแอมโมเนีย (NH3) สู่ชั้นบรรยากาศทุกปี นอกจากนี้ ปุ๋ยเคมี พวกเขาเพิ่มสารประกอบของโรคระบาดประมาณ 80 ล้านตันลงบนพื้นโลก ซึ่งเป็นจำนวนที่น่าตกใจ
เข้าใจวงจรของ Azote มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องคาดการณ์ว่า มหาสมุทร สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ เขา Azote เป็นหนึ่งในสารอาหารที่จำเป็นซึ่งจำกัดชีวิตในมหาสมุทร และความไม่สมดุลของสารอาหารดังกล่าวส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตทางทะเล การแลกเปลี่ยนแส้ถูกครอบงำโดยการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ เนื่องจาก ชีวมวล สามารถดูดซึมไนโตรเจนได้เฉพาะในรูปของแร่ธาตุ (NO3- และ NH4+) ในมหาสมุทร มีพื้นที่ที่เรียกว่า Oxygen Minimum Zones (OMZ) ซึ่งจุลินทรีย์ซึ่งขาดออกซิเจนจะหันไปพึ่งแหล่งออกซิเจนต่างๆ หายนะที่ละลายไป เพื่อความอยู่รอด กระบวนการนี้นำไปสู่การผลิตก๊าซปริมาณมากด้วย ภาวะเรือนกระจกชอบ ไนโตรเจนออกไซด์ หรือไนโตรเจนออกไซด์ (N2O) ซึ่งเป็นก๊าซ มีพลังมากกว่า 300 เท่า กว่า CO2 ต่อจากนั้นก๊าซนี้จะถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งทำให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น เพิ่มขึ้นของ ระดับ N2O เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากมีส่วนทำให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศโดยตรง การศึกษาพื้นที่เหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการขยายตัวของพื้นที่ที่ไม่มีออกซิเจนเหล่านี้เชื่อมโยงกับอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรของชีวธรณีเคมีทางทะเลอย่างต่อเนื่อง ภาวะดังกล่าวย่อมส่งผลต่อระบบนิเวศทางทะเลทั่วโลก แบบจำลองใหม่พบว่ามหาสมุทรความลึกระดับกลางซึ่งเป็นทรัพยากรทางทะเลสำคัญของอุตสาหกรรมประมงเริ่มเผชิญกับภาวะสูญเสียออกซิเจนในอัตราเร็วที่ผิดธรรมชาติ และพ้นปริมาณวิกฤติของการสูญเสียออกซิเจนในปี พ.ศ. 2564 มหาสมุทรมีออกซิเจนละลายในรูปของแก๊ส สัตว์น้ำก็ไม่ต่างจากสัตว์บกที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนในการหายใจ แต่ยิ่งมหาสมุทรอุ่นขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น้ำทะเลก็มีปริมาณออกซิเจนละลายได้น้อยลง นักวิทยาศาสตร์ติดตามการลดลงของออกซิเจนในมหาสมุทรต่อเนื่องหลายปี แต่งานวิจัยชิ้นใหม่นี้เน้นให้เห็นถึงเหตุผลที่เราควรกังวลและหาทางแก้ไขปัญหาก่อนที่จะสายเกินแก้
งานวิจัยชิ้นใหม่คืองานชิ้นแรกที่ใช้แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อทำนายภาวะการลดลงของออกซิเจนซึ่งหมายถึงปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำลดลงในมหาสมุทรทั่วโลกเกินกว่าวัฏจักรตามธรรมชาติ ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร ผลการวิจัยพบว่าการลดลงซึ่งไม่อาจฟื้นฟูได้ของปริมาณออกซิเจนในมหาสมุทร ณ ระดับความลึกระดับกลางซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลากหลายชนิดพันธุ์เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2564 และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมงทั่วโลก แบบจำลองใหม่นี้คาดว่าภาวะขาดออกซิเจนจะเริ่มส่งผลกระทบเป็นวงกว้างภายในปี พ.ศ. 2623 ผลการศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters ความลึกระดับกลางของมหาสุมทร (ตั้งแต่ 200 เมตรถึง 1,000 เมตร) หรือที่เรียกว่าเขตสนธยา (mesopelagic zones) จะเป็นพื้นที่แรกซึ่งสูญเสียปริมาณออกซิเจนอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พื้นที่ดังกล่าวคือแหล่งอาศัยสำคัญของปลาเศรษฐกิจหลากชนิดพันธุ์ ความสูญเสียนั้นอาจส่งผลกระทบเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ การขาดแคลนอาหารทะเล และนิเวศทางทะเลที่ถูกทำลาย มหาสมุทรครอบคลุมพื้นผิวโลกมากกว่า 70% และมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลก มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 90%[1] และจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์สร้างขึ้นได้เกือบ 30% อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามหาสมุทรจะมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของสภาพอากาศ แต่ในนโยบายและการอภิปรายเกี่ยวกับสภาพอากาศในกระแสหลัก มักมีการมองข้ามมหาสมุทร การยอมรับว่ามหาสมุทรเป็นพันธมิตรสำคัญด้านสภาพอากาศถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ
วิธีที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่มหาสมุทรช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้คือการทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนขนาดใหญ่ มีกระบวนการหลายอย่างที่สนับสนุนความสามารถนี้: แม้จะมีบทบาทในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ตัวมหาสมุทรเองก็เผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น: แม้จะมีความสำคัญ แต่กลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศที่ใช้มหาสมุทรเป็นฐานมักได้รับความสนใจน้อยกว่าโซลูชันที่ใช้พื้นดิน เช่น การปลูกป่าทดแทน เหตุผลมีดังนี้: เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบรรเทาผลกระทบจากสภาพอากาศของมหาสมุทรให้สูงสุด เราจะต้องดำเนินการอนุรักษ์ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นและสนับสนุนแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน วิธีแก้ปัญหาที่สำคัญบางประการ ได้แก่: การวิจัยล่าสุดโดยนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ศูนย์มหาสมุทรศาสตร์แห่งชาติในสหราชอาณาจักร และอีกหลายสถาบัน พบว่า มหาสมุทรกว่าครึ่งโลก หรือราว 56% ได้เปลี่ยนสีไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรที่มีสีเขียวเข้มขึ้นเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงสีของมหาสมุทรนั้นละเอียดเกินกว่าที่สายตามนุษย์จะสามารถสังเกตได้ แต่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในระบบนิเวศทางทะเล เนื่องจากสีของมหาสมุทรเป็นผลจากสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่อยู่ในชั้นน้ำตื้นบริเวณผิวน้ำ
บี บี คาเอล นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์มหาสมุทรศาสตร์แห่งชาติในเมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ระบุว่า แม้การเปลี่ยนแปลงสีนี้จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าของมนุษย์ แต่บางสิ่งมีชีวิตเล็กๆ สามารถรับรู้ได้ รายงานสถานะสภาพภูมิอากาศของยุโรปเมื่อเร็วๆ นี้เปิดเผยว่า ปริมาณคลอโรฟิลล์ในมหาสมุทรบางแห่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 200-500% เช่นในทะเลนอร์เวย์และมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือของสหราชอาณาจักรในช่วงเดือนเมษายน ปี 2023 ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นผลมาจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่ร้อนขึ้น โดยทั่วไป น้ำที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม สะท้อนถึงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่น้ำสีเขียวบ่งบอกถึงการมีอยู่ของระบบนิเวศ และส่วนใหญ่เป็นแพลงก์ตอนพืช ซึ่งเป็นจุลินทรีย์คล้ายพืชที่มีอยู่มากมายในมหาสมุทรตอนบนและมีคลอโรฟิลล์เม็ดสีเขียว เม็ดสีดังกล่าวช่วยให้แพลงก์ตอนเก็บเกี่ยวแสงแดด ซึ่งพวกมันใช้ในการกักเก็บคาร์บอนของมหาสมุทรจากชั้นบรรยากาศและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ตะกอนบนพื้นทะเลบางแห่งกักเก็บคาร์บอนไว้จำนวนมาก หากไม่มีการป้องกันที่มากขึ้น การรบกวนจากการประมงแบบลากอวนก้นทะเล อาจปล่อยคาร์บอนที่เก็บไว้บางส่วนกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศ จูเลียน บาร์บิแยร์ ผู้ประสานงานระดับโลกของ Ocean Decade กล่าวว่า มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความมุ่งมั่นในการจัดการพื้นที่ทะเลอย่างยั่งยืน 100% ภายใต้เขตอำนาจศาลของประเทศ ด้วยการดำเนินการนี้ จึงมีขอบเขตในการจินตนาการถึงบทบาทของมหาสมุทรในระบบภูมิอากาศที่กว้างขึ้น และตระหนักว่าระบบธรรมชาติทางทะเลทั้งหมดแยกตัวและกักเก็บคาร์บอนไว้ในดินและตะกอน โครงการทศวรรษมหาสมุทรโลกสำหรับคาร์บอนสีน้ำเงิน นั่นคือคาร์บอนใดๆ ก็ตามที่ถูกกักเก็บไว้ในมหาสมุทร โครงการนี้เป็นหนึ่งใน 50 โครงการของสหประชาชาติที่มุ่งนำเสนอโซลูชั่นด้านวิทยาศาสตร์มหาสมุทรที่เปลี่ยนแปลงได้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เชื่อมโยงผู้คนและมหาสมุทร
มุ่งเน้นไปที่ความสามารถพิเศษของระบบนิเวศชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลน บึงเกลือ และหญ้าทะเล ในการแยกหรือกักเก็บคาร์บอนอินทรีย์ในความหนาแน่นสูงผิดปกติ ทีมนักวิทยาศาสตร์การวิจัยระดับนานาชาติของบลูคาร์บอนจากกว่า 20 ประเทศกำลังเริ่มกำหนดระบบนิเวศบลูคาร์บอนที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น ป่าสาหร่ายทะเลและตะกอนใต้น้ำขึ้นน้ำลง เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการวิกฤติสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมหาสมุทรและพื้นทะเลขนาด 360 ล้านตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ทุ่งหญ้าทะเลชายฝั่งไปจนถึงตะกอนที่สะสมอย่างช้าๆ ภายในร่องลึกที่ลึกที่สุด ถูกมองข้ามอย่างหนาแน่นในฐานะแหล่งกักเก็บคาร์บอนอันล้ำค่า มหาสมุทรกักเก็บคาร์บอนไว้มากมาย เมตรบนสุดของมหาสมุทรจุได้ประมาณ 2.3 ล้านล้านเมตริกตัน
People Also Search
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังทำให้ฟอสฟอรัสในมหาสมุทรค่อย ๆ หายไป ...
- มหาสมุทรและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ - The Ocean Foundation
- ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อวงจรระบาดและมหาสมุทร
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังทำให้มหาสมุทรขาดอากาศหายใจ
- บทบาทของมหาสมุทรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เรากำลังละเลยพันธมิตร ...
- มหาสมุทรเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน | nsm
- อุณหภูมิในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสรรพชีวิตและมนุษย์อย่างไร ...
- มหาสมุทรทั่วโลกเปลี่ยนสี ความสมดุลในทะเลเปลี่ยนไป เพราะโลกร้อน
- การหมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทรส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างไร
- ทำไมการปกป้องพื้นมหาสมุทร จึงมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร PNAS เผยให้เห็นว่าอุณหภูมิที่สู่งขึ้นกำลังเปลี่ยนวัฏจักรสารอาหารสำคัญ ๆ ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของระบบนิเวศในมหาสมุทรไปในทิศทางที่คาดไม่ถึง “การศึกษาแบบจำลองชี้ให้เห็นว่าเมื่อมหาสมุทรอุ่นขึ้น น้ำจะแยกชั้นมากขึ้นซึ่งอาจดูดสารอาหารจากพื้นผิวมหาสมุทรบางส่วนได้” อดัม มาร์ตินี (Adam
รายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร PNAS เผยให้เห็นว่าอุณหภูมิที่สู่งขึ้นกำลังเปลี่ยนวัฏจักรสารอาหารสำคัญ ๆ ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของระบบนิเวศในมหาสมุทรไปในทิศทางที่คาดไม่ถึง “การศึกษาแบบจำลองชี้ให้เห็นว่าเมื่อมหาสมุทรอุ่นขึ้น น้ำจะแยกชั้นมากขึ้นซึ่งอาจดูดสารอาหารจากพื้นผิวมหาสมุทรบางส่วนได้” อดัม มาร์ตินี (Adam Martiny) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ระบบโลก นิเวศวิทยา และชีววิทยาวิวัฒนาการ จากมหาวิทยาลัยแ...
ค้นหาวิธีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอนุรักษ์มหาสมุทร เพราะมหาสมุทรต้องการความทุ่มเทและทรัพยากรทั้งหมดของเรา เรามีบล็อกโพสต์และจดหมายข่าวที่เขียนโดยพนักงานและชุมชนของเรา ข่าวเด่น ข่าวประชาสัมพันธ์ และคำขอเสนอ เรามุ่งมั่นแสวงหาความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเกี่ยวกับปัญหามหาสมุทร ในฐานะมูลนิธิชุมชน เราให้ศูนย์ความรู้เป็นทรัพยากรฟรี เรียนรู้เกี่ยวกับไฟล์
ค้นหาวิธีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอนุรักษ์มหาสมุทร เพราะมหาสมุทรต้องการความทุ่มเทและทรัพยากรทั้งหมดของเรา เรามีบล็อกโพสต์และจดหมายข่าวที่เขียนโดยพนักงานและชุมชนของเรา ข่าวเด่น ข่าวประชาสัมพันธ์ และคำขอเสนอ เรามุ่งมั่นแสวงหาความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเกี่ยวกับปัญหามหาสมุทร ในฐานะมูลนิธิชุมชน เราให้ศูนย์ความรู้เป็นทรัพยากรฟรี เรียนรู้เกี่ยวกับไฟล์ #จดจำมหาสมุทร การรณรงค์ด้านสภาพอากาศ ในพื้...
เข้าใจวงจรของ Azote มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องคาดการณ์ว่า มหาสมุทร สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ เขา Azote เป็นหนึ่งในสารอาหารที่จำเป็นซึ่งจำกัดชีวิตในมหาสมุทร และความไม่สมดุลของสารอาหารดังกล่าวส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตทางทะเล การแลกเปลี่ยนแส้ถูกครอบงำโดยการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์
เข้าใจวงจรของ Azote มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องคาดการณ์ว่า มหาสมุทร สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ เขา Azote เป็นหนึ่งในสารอาหารที่จำเป็นซึ่งจำกัดชีวิตในมหาสมุทร และความไม่สมดุลของสารอาหารดังกล่าวส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตทางทะเล การแลกเปลี่ยนแส้ถูกครอบงำโดยการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ เนื่องจาก ชีวมวล สามารถดูดซึมไนโตรเจนได้เฉพาะในรูปของแร่ธาตุ (NO3- และ NH4+) ในมหาสมุทร มีพื้นที่ที่เ...
งานวิจัยชิ้นใหม่คืองานชิ้นแรกที่ใช้แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อทำนายภาวะการลดลงของออกซิเจนซึ่งหมายถึงปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำลดลงในมหาสมุทรทั่วโลกเกินกว่าวัฏจักรตามธรรมชาติ ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร ผลการวิจัยพบว่าการลดลงซึ่งไม่อาจฟื้นฟูได้ของปริมาณออกซิเจนในมหาสมุทร ณ ระดับความลึกระดับกลางซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลากหลายชนิดพันธุ์เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2564 และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมงทั่วโลก แบบจำลองใหม่นี้คาดว่าภาวะขาดออกซิเจนจะเริ่มส่งผลกระทบเป็นวงกว้างภายในปี พ.ศ.
งานวิจัยชิ้นใหม่คืองานชิ้นแรกที่ใช้แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อทำนายภาวะการลดลงของออกซิเจนซึ่งหมายถึงปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำลดลงในมหาสมุทรทั่วโลกเกินกว่าวัฏจักรตามธรรมชาติ ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร ผลการวิจัยพบว่าการลดลงซึ่งไม่อาจฟื้นฟูได้ของปริมาณออกซิเจนในมหาสมุทร ณ ระดับความลึกระดับกลางซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลากหลายชนิดพันธุ์เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2564 และอาจส่งผลกระทบต่ออุต...
วิธีที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่มหาสมุทรช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้คือการทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนขนาดใหญ่ มีกระบวนการหลายอย่างที่สนับสนุนความสามารถนี้: แม้จะมีบทบาทในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ตัวมหาสมุทรเองก็เผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น: แม้จะมีความสำคัญ แต่กลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศที่ใช้มหาสมุทรเป็นฐานมักได้รับความสนใจน้อยกว่าโซลูชันที่ใช้พื้นดิน เช่น การปลูกป่าทดแทน เหตุผลมีดังนี้: เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบรรเทาผลกระทบจากสภาพอากาศของมหาสมุทรให้สูงสุด
วิธีที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่มหาสมุทรช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้คือการทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนขนาดใหญ่ มีกระบวนการหลายอย่างที่สนับสนุนความสามารถนี้: แม้จะมีบทบาทในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ตัวมหาสมุทรเองก็เผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น: แม้จะมีความสำคัญ แต่กลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศที่ใช้มหาสมุทรเป็นฐานมักได้รับความสนใจน้อยกว่าโซลูชันที่...