ข้อมูลจากอวกาศช่วยโลก ดาวเทียมกุญแจจัดการสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลัก 5ms

Leo Migdal
-
ข้อมูลจากอวกาศช่วยโลก ดาวเทียมกุญแจจัดการสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลัก 5ms

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ทั้งปัญหาโลกร้อน ภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้น การละลายของธารน้ำแข็ง และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีอวกาศและดาวเทียมจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเฝ้าระวัง วิเคราะห์ และคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างแม่นยำ ข้อมูลจากดาวเทียมไม่เพียงช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศได้แบบเรียลไทม์ แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการกำหนดนโยบาย การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการรับมือกับภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและความยั่งยืนของโลกในอนาคต "ดร.ปกรณ์ เพ็ชรประยูร" ผู้อำนวยการ สำนักพัฒนานวัตกรรมภูมิสารสนเทศ ภายใต้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. (GISTDA) ได้เปิดมุมมองในหัวข้อ Space and Wellness: Leveraging Geo-Informatics for Healthier and Sustainable Living ผ่านเวที CHG Global Summits 2025 โดยเน้นย้ำว่า เทคโนโลยีอวกาศที่คนคิดว่าไกลตัว แต่กลับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนได้ ทั้งนี้ งาน CHG Global Summits 2025 จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก “Connecting Ideas · Empowering Nations” ระหว่างวันที่ 21–24 ตุลาคม 2025 ที่รวม 7 สาขาหลักไว้ในงานเดียว ได้แก่ สุขภาพและสุขภาวะ การท่องเที่ยว การศึกษา สตาร์ทอัพ เศรษฐกิจ พลังงาน และการลงทุน โดยมุ่งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับโลก แลกเปลี่ยนมุมมองด้านนวัตกรรม เศรษฐกิจ และความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนโลกสู่อนาคตร่วมกันอย่างสมดุลและยั่งยืน “ดร.ปกรณ์” กล่าวว่า ปัจจุบันมีดาวเทียมมากกว่า 10,000 ดวงโคจรรอบโลก และหลายดวงทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลมหาศาลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ครอบคลุมมากกว่า 55 พารามิเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการวัดอุณหภูมิ ความเร็วลม ฝน ความชื้น และทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติและสุขภาพของมนุษย์ เทคโนโลยีดาวเทียมทำให้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้อย่างต่อเนื่องและครอบคลุม ดาวเทียมค้างฟ้าที่ประจำการอยู่เหนือศีรษะสามารถส่งข้อมูลทุก 10-15 นาที ในขณะที่ดาวเทียมโคจรให้ความละเอียดสูงถึง 15 เมตร ทำให้สามารถมองเห็นรายละเอียดที่สำคัญได้

ศาสตราจารย์ Danielle Wood ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย Space Enabled แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) ได้นำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศบนเวที KBTG Techtopia โดยระบุว่าเทคโนโลยีดาวเทียมเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาระดับโลกด้านความยั่งยืน และเชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ ในการบรรยาย ศาสตราจารย์ Wood กล่าวถึงโครงการความร่วมมือกับสถาบัน Pereira Passos ในเมืองริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ซึ่งมีการใช้ข้อมูลจากดาวเทียมเชิงพาณิชย์ของบริษัท GHG Sat เพื่อตรวจวัดการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความรุนแรงสูง จากบ่อขยะ Gramacho ที่มีการดำเนินงานควบคู่ไปกับโรงงานแปรรูปก๊าซชีวภาพ ผลการตรวจวัดพบว่ามีหนึ่งวันที่อัตราการปล่อยก๊าซสูงถึง 8 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าอัตราปกติที่ 4 ตันต่อชั่วโมงถึงสองเท่า ข้อมูลดังกล่าวได้นำไปสู่การตรวจสอบภาคพื้นดินเพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติดังกล่าว ขณะเดียวกัน โครงการในประเทศแองโกลาซึ่งประชากรบางส่วนพึ่งพาเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์และเผชิญกับวัฏจักรภัยแล้งและอุทกภัยซ้ำซาก ได้มีการนำข้อมูลความชื้นในดินที่รวบรวมย้อนหลัง 10 ปีจากดาวเทียม SMAP ของ NASA มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลทางสังคมและประชากรศาสตร์ เพื่อระบุพื้นที่และชุมชนที่มีความเปราะบางสูงสุด ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ได้ถูกนำไปพัฒนาเป็นระบบสนับสนุนการตัดสินใจ “Angola Drought Decision Support” เพื่อให้รัฐบาลสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด โดยศาสตราจารย์ Wood ยังได้กล่าวถึงดาวเทียมรุ่นต่อไปอย่าง NISAR ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง NASA และอินเดีย ที่จะช่วยให้การวัดผลมีความแม่นยำยิ่งขึ้นในอนาคต ศาสตราจารย์ Wood ได้สรุปว่าความสำเร็จของโครงการเหล่านี้เกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศใน 6 ด้านหลัก ได้แก่ การสำรวจโลก (Earth Observation) คือ การใช้ดาวเทียมที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลากหลายย่านความถี่เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศ สุขภาพพืชพรรณ และอุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทร ดาวเทียม GOES-19 ขององค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ สหรัฐฯ (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงล่าสุดและดวงสุดท้ายในซีรีส์ GOES-R ได้เริ่มปฏิบัติการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา ในชื่อ GOES East หลังจากการปล่อยขึ้นสู่ห้วงอวกาศเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2024

ดาวเทียม GOES-19 จะมาแทนที่ดาวเทียม GOES-16 ซึ่งจะกลายเป็นดาวเทียมสำรองสำหรับกลุ่มดาวเทียมค้างฟ้า (Geostationary constellation) ที่ NOAA ยังใช้งานอยู่ ดาวเทียม GOES-19 จะอยู่ในตำแหน่งเหนือเส้นศูนย์สูตร 22,236 ไมล์ที่ลองติจูด 75.2 องศาตะวันตก และมีหน้าที่ในการสนับสนุนภารกิจของ NOAA ในการเข้าถึงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลกอย่างปลอดภัยและทันท่วงที ในบทบาทใหม่นี้ GOES-19 จะทำหน้าที่เป็นดาวเทียมค้างฟ้าหลักของ NOAA สำหรับซีกโลกตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ โดยจะติดตามพายุเฮอริเคนและพายุโซนร้อนในมหาสมุทรแอตแลนติก รวมถึงตรวจสอบสภาพอากาศเลวร้าย ไฟป่า การปะทุของภูเขาไฟ และเหตุการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ในสหรัฐฯ แม้ว่า GOES-19 จะเพิ่งเริ่มปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้มีการส่งภาพและข้อมูลเบื้องต้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 ปัจจุบันสามารถดูภาพถ่ายดาวเทียม GOES-19 แบบเรียลไทม์ได้ที่เวบไซต์ NESDIS Center for Satellite Applications and Research (STAR) ภาพที่ได้จะมีลักษณะเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้าในซีรีส์ GOES-R นั่นคือการให้ภาพอินฟราเรดความละเอียดสูง ซึ่งสามารถทำแผนที่ฟ้าผ่าแบบเรียลไทม์ได้ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือตรวจสภาพอากาศในอวกาศสำหรับตรวจสอบดวงอาทิตย์ เช่น โคโรนากราฟ (Coronagraph instrument: CCOR-1) ที่สามารถถ่ายภาพบรรยากาศชั้นนอกของดวงอาทิตย์ได้ (Solar corona) เพื่อตรวจจับลักษณะของการปลดปล่อยมวลโคโรนาซึ่งสามารถรบกวนชั้นบรรยากาศแมกนีโตสเฟียร์ของโลก ส่งผลให้เกิดพายุแม่เหล็กโลก แสงเหนือ และอาจส่งผลต่อเทคโนโลยีต่างๆ... GOES-R Series เป็นภารกิจที่ประกอบด้วยดาวเทียม 4 ดวง ได้แก่ GOES-R (GOES-16 ปล่อยในปี 2016), GOES-S (GOES-17 ปล่อยในปี 2018), GOES-T (GOES-18 ปล่อยในปี 2022) และ GOES-U (GOES-19) โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง NOAA และ NASA โดย NASA สร้างและปล่อยดาวเทียมสำหรับ NOAA ส่วน NOAA มีหน้าที่ปฏิบัติการดาวเทียมและให้ข้อมูลไปยังผู้ใช้ทั่วโลก ปัจจุบัน GOES-19... GOES-19 เริ่มปฏฺบัติการอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของโครงการ GOES ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 50 ปีในปี 2025 นับตั้งแต่เปิดตัวดาวเทียม GOES ดวงแรกในปี 1975 โดย NOAA และ NASA ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนาระบบการสังเกตการณ์ด้วยดาวเทียม ดาวเทียมแต่ละรุ่นได้นำมาซึ่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับการติดตามสิ่งแวดล้อม การเข้าร่วมกลุ่มดาวเทียมของ GOES-19 ทำให้ภารกิจของ NOAA มีความพร้อมที่จะส่งมอบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมต่อไปจนถึงปี 2030 เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อโลกในทุกมิติ การหาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนกลายเป็นความท้าทายสำคัญของมนุษยชาติ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการลดผลกระทบและฟื้นฟูสมดุลสิ่งแวดล้อม การนำข้อมูลจากดาวเทียมมาประยุกต์ใช้เพื่อการติดตาม ตรวจสอบ และรายงานสถานการณ์ทางสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยเป็นกลไกในการหาต้นเหตุและแนวทางการป้องกัน ล่าสุดในงานสัมมนา “Carbon Atlas 2024” ภายใต้แนวคิด “Satellite – Powered Carbon MRV for Climate Action” นวัตกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และรายงาน (Monitoring, Reporting, Verification: MRV) ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีภาคส่วนต่างๆร่วมนำเสนอนวัตกรรมในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero...

ดร.ศิริลักษณ์ พฤกษ์ปิติกุล รองผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศร่วมกับดาวเทียมมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ ติดตาม และรายงาน (Satellite-based Carbon MRV) การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พื้นที่ป่าไม้ ป่าชายเลน และพื้นที่การเกษตร อีกทั้งยังช่วยประเมินศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าและเกษตรกรรม รวมถึงติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการวางแผนและกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ รองผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่าต่อว่า ปัจจุบัน GISTDA กำลังปรับเปลี่ยนกระบวนการตรวจสอบคาร์บอนเครดิตจากระบบเดิมที่อาศัยการวัดและสำรวจด้วยมนุษย์ หรือที่เรียกว่า Monitoring, Reporting, Verification (MRV) ไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัยมากขึ้น ภายใต้แนวคิด Digital Monitoring, Reporting, Verification (DMRV) ซึ่งรวมถึงการนำอุปกรณ์ที่ทันสมัย เช่น เครื่องสแกน 3 มิติ (3D Scanner), อุปกรณ์ LiBackpack และโดรน LiDAR มาใช้ในการเก็บข้อมูลอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้ประยุกต์ใช้ข้อมูลเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกป่า ป้องกันไฟป่า และเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอน รวมถึงการการพัฒนาแบบจำลองการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ร่วมกันในอนาคตให้มีความถูกต้อง แม่นยำ และครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้รวดเร็วอีกด้วย นอกจากนี้ GISTDA ยังร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพัฒนาแนวทางและวิธีการที่เหมาะสมสำหรับป่าชุมชนเพื่อสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐาน T-VER และ Premium T-VER สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เผยว่า เช้าวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA ประสบความสำเร็จในปล่อยจรวด H3 จากท่าอวกาศยาน Yoshinobu ของศูนย์อวกาศ Tanegashima พร้อมนำส่งดาวเทียม ALOS-4 ขึ้นสู่วงโคจร ดาวเทียม ALOS-4 เป็นชื่อย่อจาก Advanced Land Observing Satellite 4 และมีอีกชื่อว่า Daichi 4 เป็นดาวเทียมสำรวจโลก ที่มีภารกิจคอยตรวจดูความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมบนภาคพื้นโลก พร้อมกับมีบทบาทสำคัญในการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับวางแผนจัดการเมื่อยามเกิดภัยพิบัติขึ้น ALOS-4 เป็นดาวเทียมที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท Mitsubishi Electric มีน้ำหนักประมาณ 3,000 กิโลกรัม และปฏิบัติภารกิจสำรวจโลกจากวงโคจรชนิด Sun-synchronous ที่ความสูง 628 กิโลเมตรจากพื้นโลก

ทั้งนี้ มีอุปกรณ์ที่ติดตั้งบนดาวเทียมอยู่ 2 ชิ้น ได้แก่ เรดาร์ช่องเปิดสังเคราะห์ชนิด L-band ชื่อ PALSAR-3 (Phased Array type L-band Synthetic Aperture Radar-3) และอุปกรณ์รับส่งสัญญาณระบบแสดงตนอัตโนมัติของกิจการเดินเรือ ชื่อ SPAISE3 (SPace based AIS Experiment 3) บทบาทของภารกิจ ALOS-4 คือการรับช่วงต่อจากดาวเทียม ALOS-2 ของ JAXA ที่ประจำการอยู่บนวงโคจรมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์เรดาร์ PALSAR-3 ให้ครอบคลุมพื้นที่การสำรวจความละเอียดสูงได้กว้างประมาณ 200 กิโลเมตร มากกว่า ALOS-2 ที่ครอบคลุมความกว้างได้แค่ 50 กิโลเมตร ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นวิกฤตการณ์ที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบในวงกว้างทั่วโลก การทำความเข้าใจสถานการณ์และหาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุม ซึ่งในบริบทนี้เทคโนโลยีดาวเทียม ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ โดยทำหน้าที่เปรียบเสมือนดวงตาบนท้องฟ้าที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงของโลก (Earth Observation Satellite) เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น อุณหภูมิผิวโลก ความชื้น ก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงของป่าไม้ และกิจกรรมของมนุษย์ ข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมสามารถนำมาใช้วิเคราะห์สถานการณ์สิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยให้เราเข้าใจและรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างทันท่วงที เทคโนโลยีดาวเทียมได้ปฏิวัติวิธีการศึกษาโลกของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดาวเทียมสามารถให้ข้อมูลที่ครอบคลุมและต่อเนื่องในระดับโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่การสำรวจภาคพื้นดินไม่สามารถทำได้ โดยมีบทบาทสำคัญดังนี้ ดาวเทียมสามารถตรวจวัดอุณหภูมิของพื้นผิวโลกและมหาสมุทรได้อย่างแม่นยำ ทำให้เรามองเห็นแนวโน้มของภาวะโลกร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพยากรณ์อากาศและแบบจำลองสภาพภูมิอากาศในอนาคต เทคโนโลยีดาวเทียม เช่น CryoSat ขององค์การอวกาศยุโรป (ESA) และดาวเทียมในโครงการ GRACE-FO ของนาซา สามารถวัดความหนาและมวลของแผ่นน้ำแข็งได้อย่างละเอียด ข้อมูลที่ได้แสดงให้เห็นถึงอัตราการละลายของน้ำแข็งที่น่าเป็นห่วง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล

ดาวเทียมที่ติดตั้งเครื่องวัดความสูง (Altimeter) สามารถวัดระดับน้ำทะเลทั่วโลกได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลนี้ช่วยยืนยันถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำทะเลขยายตัวและได้รับน้ำจากการละลายของน้ำแข็ง ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ ฝุ่น PM2.5 กลายเป็นวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมที่ไทยเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะในช่วงต้นปีเมื่อปรากฏ"ค่าฝุ่น"พุ่งสูงจนหลายจังหวัดติดอันดับเมืองอากาศแย่ที่สุดในโลก ผลกระทบไม่เพียงทำร้ายสุขภาพ แต่ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งการท่องเที่ยว การเกษตร และค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ปัญหานี้ตอกย้ำว่าการแก้ไขเชิงรับเพียงอย่างเดียวไม่พอ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเครื่องมือวิเคราะห์และคาดการณ์เชิงรุกเพื่อบริหารสถานการณ์อย่างเป็นระบบ ล่าสุด กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมพัฒนา “แพลตฟอร์มการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ” ที่ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมควบคู่กับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลข้ามศาสตร์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงการนำเทคโนโลยีอวกาศมาเชื่อมกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ความร่วมมุ่งหมายหลักคือการสร้างแบบจำลองคาดการณ์ ฝุ่น PM2.5 โดยใช้ข้อมูลดาวเทียมสำรวจโลกผนวกกับข้อมูลอุตุนิยมวิทยาและค่ามลพิษที่ตรวจวัดจากสถานีภาคพื้นดิน ก่อนนำมาประมวลด้วย AI/ML เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงได้ล่วงหน้า 7 วัน แพลตฟอร์มนี้สามารถระบุระดับความเข้มข้นของฝุ่นในเชิงพื้นที่ ทำให้การเตือนภัยและออกมาตรการควบคุมมีความแม่นยำยิ่งขึ้น นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดี คพ. มองว่า ข้อมูลเชิงลึกจากระบบนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากการมีฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้ภาครัฐกำหนดมาตรการเชิงรุกได้ทันเวลา และประชาชนสามารถเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการ วว. อธิบายว่า การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ต้องอาศัย “ระบบนิเวศข้อมูล” ที่บูรณาการจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐ เอกชน หรือชุมชน เพื่อให้ได้แบบจำลองที่แม่นยำและนำไปใช้ได้จริง วว.จึงวางเป้าหมายให้มีการพัฒนาโครงการนำร่องในพื้นที่วิกฤติ ก่อนขยายผลสู่ภูมิภาคอื่น เพื่อสร้างต้นแบบการจัดการปัญหามลพิษที่ยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงกับเป้าหมายเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ

People Also Search

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ทั้งปัญหาโลกร้อน ภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้น การละลายของธารน้ำแข็ง และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีอวกาศและดาวเทียมจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเฝ้าระวัง วิเคราะห์ และคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างแม่นยำ ข้อมูลจากดาวเทียมไม่เพียงช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศได้แบบเรียลไทม์ แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการกำหนดนโยบาย

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ทั้งปัญหาโลกร้อน ภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้น การละลายของธารน้ำแข็ง และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีอวกาศและดาวเทียมจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเฝ้าระวัง วิเคราะห์ และคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างแม่นยำ ข้อมูลจากดาวเทียมไม่เพียงช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูม...

ศาสตราจารย์ Danielle Wood ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย Space Enabled แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA)

ศาสตราจารย์ Danielle Wood ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย Space Enabled แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) ได้นำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศบนเวที KBTG Techtopia โดยระบุว่าเทคโนโลยีดาวเทียมเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาระดับโลกด้านความยั่งยืน และเชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Develop...

ดาวเทียม GOES-19 จะมาแทนที่ดาวเทียม GOES-16 ซึ่งจะกลายเป็นดาวเทียมสำรองสำหรับกลุ่มดาวเทียมค้างฟ้า (Geostationary Constellation) ที่ NOAA ยังใช้งานอยู่

ดาวเทียม GOES-19 จะมาแทนที่ดาวเทียม GOES-16 ซึ่งจะกลายเป็นดาวเทียมสำรองสำหรับกลุ่มดาวเทียมค้างฟ้า (Geostationary constellation) ที่ NOAA ยังใช้งานอยู่ ดาวเทียม GOES-19 จะอยู่ในตำแหน่งเหนือเส้นศูนย์สูตร 22,236 ไมล์ที่ลองติจูด 75.2 องศาตะวันตก และมีหน้าที่ในการสนับสนุนภารกิจของ NOAA ในการเข้าถึงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลกอย่างปลอดภัยและทันท่วงที ในบทบาทใหม่นี้ GOES-19 จะทำหน้าที่เป็นดาวเทียมค้างฟ้...

ดร.ศิริลักษณ์ พฤกษ์ปิติกุล รองผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศร่วมกับดาวเทียมมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ ติดตาม และรายงาน (Satellite-based Carbon

ดร.ศิริลักษณ์ พฤกษ์ปิติกุล รองผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศร่วมกับดาวเทียมมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ ติดตาม และรายงาน (Satellite-based Carbon MRV) การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พื้นที่ป่าไม้ ป่าชายเลน และพื้นที่การเกษตร อีกทั้งยังช่วยประเมินศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าและเกษตรกรรม รวมถึงติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อ...

ทั้งนี้ มีอุปกรณ์ที่ติดตั้งบนดาวเทียมอยู่ 2 ชิ้น ได้แก่ เรดาร์ช่องเปิดสังเคราะห์ชนิด L-band ชื่อ PALSAR-3 (Phased

ทั้งนี้ มีอุปกรณ์ที่ติดตั้งบนดาวเทียมอยู่ 2 ชิ้น ได้แก่ เรดาร์ช่องเปิดสังเคราะห์ชนิด L-band ชื่อ PALSAR-3 (Phased Array type L-band Synthetic Aperture Radar-3) และอุปกรณ์รับส่งสัญญาณระบบแสดงตนอัตโนมัติของกิจการเดินเรือ ชื่อ SPAISE3 (SPace based AIS Experiment 3) บทบาทของภารกิจ ALOS-4 คือการรับช่วงต่อจากดาวเทียม ALOS-2 ของ JAXA ที่ประจำการอยู่บนวงโคจรมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์เร...