คลื่นความร้อนในมหาสมุทรทะลุสถิติ นัยยะอันน่าสะพรึงกลัวสําหรับโลก

Leo Migdal
-
คลื่นความร้อนในมหาสมุทรทะลุสถิติ นัยยะอันน่าสะพรึงกลัวสําหรับโลก

อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โดยอุณหภูมิผิวน้ำสูงกว่าค่าสูงสุดเดิมเมื่อปี 2022 ถึงกว่า 0.25 องศาเซลเซียส สำนักข่าว BBC รายงานว่า อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โดยอุณหภูมิผิวน้ำสูงกว่าค่าสูงสุดเดิมเมื่อปี 2022 ถึงกว่า 0.25 องศาเซลเซียส โดยการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนี้ถือว่ามหาศาลเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่กว้างกว่า 10 เท่าของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล มีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้นเพราะ ภาวะโลกร้อนจากฝีมือมนุษย์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้กลับรุนแรงและยาวนานผิดปกติ จนยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน โดย เซเก เฮาส์ฟาเธอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศจาก Berkeley Earth สหรัฐฯชี้ว่า มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือแน่นอน ข้อมูลจากบริการภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus) ของยุโรป พบว่า พื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ — ตั้งแต่ชายฝั่งเอเชียตะวันออกจรดอเมริกาเหนือกำลังประสบคลื่นความร้อนทางทะเลขนาดยักษ์ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า "Warm Blob" อุณหภูมิของผิวน้ำในปี 2025 สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อนหน้า และเกินกว่าที่แบบจำลองภูมิอากาศคาดการณ์ไว้มาก โดยมีโอกาสไม่ถึง 1% ที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นในปีใดปีหนึ่งตามธรรมชาติ มหาสมุทรมีอุณหภูมิที่ร้อนที่สุดที่เคยบันทึก จากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของโลก

อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลโลกเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าสถิติในปี 2559 ในสัปดาห์นี้ ตามข้อมูลของ Copernicus ผู้ให้บริการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรปสูงถึง 20.96C ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเวลานี้ของปีมาก มหาสมุทรเป็นตัวควบคุมสภาพอากาศที่สำคัญ ดูดซับความร้อน ผลิตออกซิเจนครึ่งหนึ่งของโลก และขับเคลื่อนรูปแบบสภาพอากาศ น้ำที่ร้อนขึ้นจะมีความสามารถในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง หมายความว่าก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้นจะคงอยู่ในชั้นบรรยากาศมากขึ้น และยังสามารถเร่งการละลายของธารน้ำแข็งที่ไหลลงสู่มหาสมุทร ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นและคลื่นความร้อนรบกวนสัตว์ทะเล เช่น ปลาและวาฬ ขณะที่พวกมันเคลื่อนไหวเพื่อค้นหาน้ำเย็น ซึ่งทำให้ห่วงโซ่อาหารปั่นป่วน ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าปลาอาจได้รับผลกระทบ มหาสมุทรเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างแยกจากกันไม่ได้ โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสนับสนุนชีวิตบนบกอีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งในอดีตนั้นคลื่นความร้อนในทะเลไม่เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์จากสมาคมชีววิทยาทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ทั่วโลกได้ชี้ว่า ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

“ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว “และเมื่อคลื่นความร้อนใต้ทะเลยังคงเพิ่มขึ้น เราก็มีแนวโน้มที่จะเห็นการสูญเสียสายพันธุ์และระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้นทั่วโลก” ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate Change ทีมวิจัยได้เปิดเผยว่าในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 และ 2024 ที่ผ่านมานั้นมีวันที่เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 240% เมื่อเทืยบกับสถิติเดิม การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ชีวิตต่าง ๆ ต้องดิ้นรนมากขึ้นทั้งในแนวปะการัง การประมง และชุมชนชายฝั่ง ในยุโรปนั้นคลื่นความร้อนในทะเลทำให้อุณหภูมิพื้นดินในหมู่เกาะอังกฤษสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทำให้ประชากรปลาได้รับผลกระทบอย่างหนัก ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส

ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super marine heat waves) “ระบบนิเวศทางทะเลไม่เคยเจอไม่เคยเจอคลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง จนระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขนาดนี้มาก่อน” โบยิน ฮวง นักสมุทรศาสตร์จากสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติกล่าว งานวิจัยใหม่พบว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า ส่งผลให้พายุรุนแรงขึ้น ทำลายระบบนิเวศสำคัญ อย่าง ป่าสาหร่ายทะเลและแนวปะการัง ผลการศึกษาพบว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ส่งทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งความร้อนในทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินี้ไม่เพียงแต่จะทำให้พายุทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำลายระบบนิเวศทางทะเลที่สำคัญ เช่น ป่าสาหร่ายทะเลและแนวปะการัง นักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ราวครึ่งหนึ่งของคลื่นความร้อนในมหาสมุทร นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จะไม่เกิดขึ้นหากไม่มีภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล และคลื่นความร้อนไม่เพียงแต่เกิดบ่อยครั้งขึ้นเท่านั้น แต่ยังรุนแรงขึ้นด้วย ด้วยมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส แต่ในบางพื้นที่อาจร้อนกว่านั้นมาก

งานวิจัยนี้เป็นการประเมินผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มีต่อคลื่นความร้อนในมหาสมุทรทั่วโลกอย่างครอบคลุมเป็นครั้งแรก และยังเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง โดยระบุว่า มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้น้อยลง ซึ่งเป็นตัวเร่งอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นอีก ดร.มาร์ต้า มาร์กอส (Dr Marta Marcos) จากสถาบันศึกษาเมดิเตอร์เรเนียนในเมืองมายอร์กาของสเปน ซึ่งเป็นผู้นำการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ระบุว่า ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีคลื่นความร้อนในทะเลที่ร้อนกว่าอุณหภูมิปกติถึง 5 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นเรื่องแย่มากเมื่อลงไปว่ายน้ำ เนื่องจากน้ำร้อนเหมือนซุป ข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรของโลกทุบสถิติใหม่นับตั้งแต่มีการบันทึกไว้โดยดาวเทียม สาเหตุเนื่องจากคลื่นความร้อนในมหาสมุทรทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศระบุว่าข้อมูลเบื้องต้นจากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration) หรือ NOAA แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวมหาสมุทรอยู่ที่ 21.1 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่เดือนเมษายน ทุบสถิติอุณหภูมิสูงสุดที่ 21 องศาเซลเซียสในปี พ.ศ. 2559 “แนวโน้มในปัจจุบันดูเหมือนว่าอุณหภูมิกำลังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง และทุบสถิติในอดีตอีกครั้ง” ศาสตราจารย์ Matthew England นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศจาก University of New South Wales ให้สัมภาษณ์

ปรากฎการณ์ลานีญาที่เกิดขึ้นทั่วแถบแปซิฟิกเป็นเวลากว่าสามปีทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงและความชื้นก็ช่วยบรรเทาผลกระทบจากแก๊สเรือนกระจก แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าความร้อนที่พื้นผิวมหาสมุทรกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาจมีสาเหตุมาจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะเกิดขึ้นตามรูปแบบภูมิอากาศในช่วงปลายปีนี้ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภูมิอากาศเลวร้ายสุดขั้วและอาจทุบสถิติความร้อนในหน้าประวัติศาสตร์ Mike McPhaden นักวิจัยอาวุโสจาก NOAA ระบุว่า “ปรากฎการณ์ลานีญาต่อเนื่องสามปีเตรียมยุติแล้ว อากาศหนาวต่อเนื่องจากปรากฎการณ์ดังกล่าวคือสาเหตุที่ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกลดลงทั้งที่แก๊สเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น”

People Also Search

อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โดยอุณหภูมิผิวน้ำสูงกว่าค่าสูงสุดเดิมเมื่อปี 2022 ถึงกว่า 0.25 องศาเซลเซียส สำนักข่าว BBC

อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โดยอุณหภูมิผิวน้ำสูงกว่าค่าสูงสุดเดิมเมื่อปี 2022 ถึงกว่า 0.25 องศาเซลเซียส สำนักข่าว BBC รายงานว่า อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โดยอุณหภูมิผิวน้ำสูงกว่าค่าสูงสุดเดิมเมื่อปี 2022 ถึงกว่า 0.25 องศาเซลเซียส โดยก...

อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลโลกเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าสถิติในปี 2559 ในสัปดาห์นี้ ตามข้อมูลของ Copernicus ผู้ให้บริการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรปสูงถึง 20.96C ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเวลานี้ของปีมาก มหาสมุทรเป็นตัวควบคุมสภาพอากาศที่สำคัญ ดูดซับความร้อน

อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลโลกเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าสถิติในปี 2559 ในสัปดาห์นี้ ตามข้อมูลของ Copernicus ผู้ให้บริการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรปสูงถึง 20.96C ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเวลานี้ของปีมาก มหาสมุทรเป็นตัวควบคุมสภาพอากาศที่สำคัญ ดูดซับความร้อน ผลิตออกซิเจนครึ่งหนึ่งของโลก และขับเคลื่อนรูปแบบสภาพอากาศ น้ำที่ร้อนขึ้นจะมีความสามารถในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง หมายความว่าก๊าซเรื...

“ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว

“ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว “และเมื่อคลื่นความร้อนใต้ทะเลยังคงเพิ่มขึ้น เราก็มีแนวโน้มที่จะเห็นการสูญเสียสายพันธุ์และระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้นทั่วโลก” ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate...

ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super Marine Heat Waves)

ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super marine heat waves) “ระบบนิเวศทางทะเลไม่เคยเจอไม่เคยเจอคลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง จนระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเล...

งานวิจัยนี้เป็นการประเมินผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มีต่อคลื่นความร้อนในมหาสมุทรทั่วโลกอย่างครอบคลุมเป็นครั้งแรก และยังเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง โดยระบุว่า มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้น้อยลง ซึ่งเป็นตัวเร่งอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นอีก ดร.มาร์ต้า มาร์กอส (Dr Marta Marcos)

งานวิจัยนี้เป็นการประเมินผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มีต่อคลื่นความร้อนในมหาสมุทรทั่วโลกอย่างครอบคลุมเป็นครั้งแรก และยังเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง โดยระบุว่า มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้น้อยลง ซึ่งเป็นตัวเร่งอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นอีก ดร.มาร์ต้า มาร์กอส (Dr Marta Marcos) จากสถาบันศึกษาเมดิเตอร์เรเนียนในเมืองมายอร์กาของสเปน ซึ่งเป็นผู้นำการศึกษาที่ต...