ดร สันติธาร เผย 4 เมกะเทรนด์เขย่าโลกปี 2025 คนไทยปรับตัวยังไงดี

Leo Migdal
-
ดร สันติธาร เผย 4 เมกะเทรนด์เขย่าโลกปี 2025 คนไทยปรับตัวยังไงดี

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้าใจทิศทางและแนวโน้มของโลกธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์และนักเขียนชื่อดัง ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจในงาน Future Trends Ahead Summit 2025 โดยชี้ให้เห็นถึง 4 คลื่นยักษ์แห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังส่งผลกระทบต่อโลกธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในเทรนด์สำคัญต่อวัยทำงานทุกคนก็คือ การเข้ามาของ AI ที่เขย่าโลกการทำงานให้พลิกโฉมจากหน้ามือเป็นหลังมือ แรกสุด ดร.สันติธาร ได้ตั้งคำถามว่า ตอนนี้เรากำลงเล่นเกมผิดที่ผิดเวลาหรือเปล่า? เนื่องจากในโลกที่กฎกติกากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเป็นผู้ชนะในเกมที่ผิดก็อาจกลายเป็นผู้แพ้ได้ในที่สุด หลายธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตอาจพบว่าตนเองกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งนี้มีปัจจัยจาก 4 เมกะเทรนด์ใหญ่ๆ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจและโลกการทำงาน ซึ่งไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นแนวโน้มที่กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก หากองค์กร ผู้ประกอบการธุรกิจ และเหล่าวัยทำงานไม่ยอมปรับตัวให้ทัน พวกเขาอาจกลายเป็นผู้แพ้ในที่สุด ปัจจุบัน AI โดยเฉพาะ Generative AI (Gen AI) กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ChatGPT ที่มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน ซึ่งเร็วกว่าการเติบโตของ Facebook ในอดีตที่ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี ล่าสุด AI จากจีนอย่าง DeepSeek ได้เปิดตัวขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีต้นทุนถูกลงมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ส่งผลกระทบสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงาน (Works & Jobs Redesign): AI สามารถช่วยสร้างเนื้อหาขั้นต้น นักเขียนอาจเปลี่ยนบทบาทจากผู้เขียนเป็นบรรณาธิการ งานที่ต้องใช้การวิเคราะห์และการตัดสินใจสูงจะต้องปรับรูปแบบการทำงานใหม่ การเรียนรู้แบบดั้งเดิมอาจหายไป หากวัยทำงานพึ่งพา AI มากเกินไป ผู้ใช้งาน AI ต้องหาจุดสมดุลระหว่างการใช้ AI และการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ และระวังการสูญเสียการเรียนรู้ (Learning Loss)

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วการเข้าใจทิศทางของเมกะเทรนด์ระดับโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์และนักเขียนชื่อดัง ได้เผย 4 คลื่นยักษ์แห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะส่งผลต่อโลกธุรกิจอย่างมหาศาลในปี 2025 หนึ่งในประเด็นที่กระทบกับคนวัยทำงานโดยตรง คือ การเข้ามาของ AI ที่กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ปัจจุบัน AI โดยเฉพาะ Generative AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ChatGPT ที่สามารถดึงดูดผู้ใช้ 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน ซึ่งเร็วกว่า Facebook ที่ใช้เวลาถึง 10 ปี ล่าสุด AI จากจีนอย่าง DeepSeek ได้เปิดตัวขึ้น ซึ่งสะท้อนว่า AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีต้นทุนถูกลง ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ส่งผลกระทบสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ AI กำลังเข้ามาช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในหลายสายอาชีพ แต่นั่นก็หมายความว่าหลายตำแหน่งอาจถูกแทนที่ ดังนั้น คนวัยทำงานต้องพิจารณาว่างานประเภทไหนที่มนุษย์ควรทำเอง และงานแบบไหนที่ AI ควรเข้ามาช่วย แต่ความท้าทายที่สำคัญคือ การใช้ AI มากเกินไปอาจนำไปสู่ Learning Loss หรือการสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้ คนวัยทำงานจึงต้องหาสมดุลระหว่างการใช้ AI กับการพัฒนาทักษะของตัวเอง AI กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ระบบอัลกอริธึมสามารถเรียนรู้และคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้แม่นยำขึ้น ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวให้ทัน กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีสัมมนา “Future Forum 2025: – Great Transformation” ซึ่งมีนักวิชาการและผู้นำภาคธุรกิจเข้าร่วมกว่า 250 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยการตื่นตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาและได้รับการยอมรับตรงกันคือ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ “The Great Transformation” ครั้งนี้

นายเฮง สวี เกียต อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติของสิงคโปร์ (National Research Foundation, Singapore) ได้ให้ทรรศนะที่น่าสนใจในหัวข้อ “Economic Transformation for Peoples, For Planet” โดยระบุว่า โลกได้ผ่านวิกฤตการณ์สำคัญมาแล้ว 2 รูปแบบในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา คือวิกฤตเศรษฐกิจ (วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551) และวิกฤตโรคระบาด (โควิด-19) แม้วิกฤตเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบ แต่เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตต่อไปได้แม้จะในอัตราที่ชะลอตัวลง ทว่า วิกฤตโควิด-19 ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนภูมิทัศน์โลกไปอย่างสิ้นเชิง นายเฮง สวี เกียต ได้สรุปเมกะเทรนด์ที่กำลังขับเคลื่อนโลกในปัจจุบันภายใต้แนวคิด “4D” ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “สิงคโปร์ได้นำเทรนด์ทั้ง 4 มาเป็นแกนหลักในการวางกลยุทธ์บริหารประเทศ โดยเน้นการพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันเทคโนโลยี, การทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งปัจจุบันมีถึง 28 ฉบับ, การบริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) และการปรับใช้เทคโนโลยีในทุกภาคส่วน” นายเฮง สวี เกียต กล่าว เขายังเน้นย้ำว่า “ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ AI จะเป็นขุมพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่หัวใจหลักคือการพัฒนาศักยภาพของประชากรให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้ ภาคเอกชนต้องเปลี่ยนวิธีคิด ปรับกลยุทธ์ และเปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางความผันผวน” ท่ามกลางโลกที่เผชิญความผันผวนรุนแรง และเมกะเทรนด์กำลังเปลี่ยนทิศทางอนาคตอย่างถาวร คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยจะหาทางรอดและคว้าโอกาสใหม่ได้อย่างไรในภูมิทัศน์ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป วิสัยทัศน์และคำตอบสำหรับโจทย์ใหญ่ของประเทศนี้ ถูกนำเสนอผ่านมุมมองของสองนักคิดและนักยุทธศาสตร์ชั้นนำ ได้แก่ ปิยะชาติ อิศรภักดีประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท BRANDi and Companies และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) โดยทั้งสอง ได้ร่วมกันวิเคราะห์ทิศทางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกบนเวทีเสวนา “Global Headline: Shifting the Global Megatrends” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมเทคโนโลยีระดับนานาชาติ KBTG Techtopia 2025 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “At World’s Beginning” บทสนทนาของทั้งสองได้ฉายภาพอนาคตที่ทั้งท้าทายและเต็มไปด้วยโอกาส พร้อมชี้แนวทางให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

ภาพของโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรง ถูกฉายให้เห็นอย่างชัดเจน โดยปิยะชาติให้คำนิยามสภาวะปัจจุบันว่าเป็นโลกที่เผชิญกับ “4 ต.” คือ ตื่นตูม แตกแยก ตีบตัน และตกต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้ภูมิทัศน์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร เขาอธิบายว่าโลกกำลังอยู่ในสภาวะ “ตื่นตูม” จากวิกฤติซ้อนวิกฤติที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งโรคระบาด สงคราม และภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ผู้คนและองค์กรไม่มีเวลาได้หยุดพักเพื่อฟื้นตัว นำไปสู่สภาวะ “แตกแยก” ที่เห็นได้ชัดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่บีบให้หลายประเทศต้องเลือกข้าง ทำลายระเบียบโลกที่เคยพึ่งพิงกันและกัน สภาวะเช่นนี้นำไปสู่ความ “ตีบตัน” ในการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก ยุคสมัยของอัตราดอกเบี้ยต่ำและการเติบโตที่สดใสได้สิ้นสุดลง และสุดท้ายคือความ “ตกต่ำ” ทางความเชื่อมั่นที่ผู้คนมีต่อสถาบันต่าง ๆ และต่ออนาคตของตนเอง ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระห่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในงานสัมมนา THAILAND ECONOMIC DRIVES หัวข้อเรื่อง “NEW BUSINESS กับการขับเคลื่อน” ว่า แม้ว่าประเทศไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอน แต่เรายังมีโอกาสจากการปรับโมเดลธุรกิจ หรือการสร้างธุรกิจใหม่ๆ โดยมองว่าเมกะเทรนด์ที่จะมีในโลก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อีก 10 -20 ปี เทรนด์เหล่านั้นก็ยังอยู่กับเรา แบ่งเป็น 4 เทรนด์ ได้แก่ 1.ภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจุบันยังเผชิญกับ การเมืองโลก ซึ่งนำมาซึ่งความเสี่ยงต่างๆ เช่น สงคราม การกีดกันการค้า โดยอเมริกา ก็ยังมีความขัดแย้งกับจีน ฉะนั้น ซับพลายเชนในโลกกำลังปรับ ไปยังประเทศต่างๆ ที่เป็นเพื่อนเขา บางส่วนย้ายกลับไปประเทศแม่ บางส่วนมองการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่เป็นมิตร

สำหรับการย้ายฐานการลงทุนอย่างมหาศาลในครั้งนี้ไม่ได้มีมาบ่อย 50 ปีมาครั้ง ถือเป็นโอกาสของไทย โดยการย้ายฐานการลงทุนมีมา 4-5 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากสงครามการค้า และหนีการดิสรัปชั่นที่มาประเทศไทยมีจำนวนไม่น้อย ทั้งนี้ มองว่าเทรนด์นี้จะไม่จบง่ายๆ ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยก็ไม่ใช่สินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น ส่วนใหญ่ไทยจะได้สินค้าเป็นธุรกิจใหม่ เช่น อีวี อิเล็กทรอนิกส์ และดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นต้น ทั้งนี้ จากข้อมูลการลงทุนที่มาขอสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า เทรนด์ที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และจีน ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

People Also Search

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้าใจทิศทางและแนวโน้มของโลกธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์และนักเขียนชื่อดัง ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจในงาน Future Trends Ahead Summit

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้าใจทิศทางและแนวโน้มของโลกธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์และนักเขียนชื่อดัง ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจในงาน Future Trends Ahead Summit 2025 โดยชี้ให้เห็นถึง 4 คลื่นยักษ์แห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังส่งผลกระทบต่อโลกธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในเทรนด์สำคัญต่อวัยทำงานทุกคนก็คือ การเข้ามาของ AI ที่เขย่าโลกการทำงานให้พลิกโฉมจากห...

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วการเข้าใจทิศทางของเมกะเทรนด์ระดับโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์และนักเขียนชื่อดัง ได้เผย 4 คลื่นยักษ์แห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะส่งผลต่อโลกธุรกิจอย่างมหาศาลในปี 2025 หนึ่งในประเด็นที่กระทบกับคนวัยทำงานโดยตรง คือ

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วการเข้าใจทิศทางของเมกะเทรนด์ระดับโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์และนักเขียนชื่อดัง ได้เผย 4 คลื่นยักษ์แห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะส่งผลต่อโลกธุรกิจอย่างมหาศาลในปี 2025 หนึ่งในประเด็นที่กระทบกับคนวัยทำงานโดยตรง คือ การเข้ามาของ AI ที่กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ปัจจุบัน AI โดยเฉพาะ Generative AI กำลังเข้ามามีบทบ...

นายเฮง สวี เกียต อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติของสิงคโปร์ (National Research Foundation, Singapore) ได้ให้ทรรศนะที่น่าสนใจในหัวข้อ “Economic

นายเฮง สวี เกียต อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติของสิงคโปร์ (National Research Foundation, Singapore) ได้ให้ทรรศนะที่น่าสนใจในหัวข้อ “Economic Transformation for Peoples, For Planet” โดยระบุว่า โลกได้ผ่านวิกฤตการณ์สำคัญมาแล้ว 2 รูปแบบในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา คือวิกฤตเศรษฐกิจ (วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551) และวิกฤตโรคระบาด (โควิด-19) แม้วิกฤตเศรษฐกิจจะส่งผลกระ...

ภาพของโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรง ถูกฉายให้เห็นอย่างชัดเจน โดยปิยะชาติให้คำนิยามสภาวะปัจจุบันว่าเป็นโลกที่เผชิญกับ “4 ต.” คือ ตื่นตูม แตกแยก ตีบตัน และตกต่ำ

ภาพของโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรง ถูกฉายให้เห็นอย่างชัดเจน โดยปิยะชาติให้คำนิยามสภาวะปัจจุบันว่าเป็นโลกที่เผชิญกับ “4 ต.” คือ ตื่นตูม แตกแยก ตีบตัน และตกต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้ภูมิทัศน์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร เขาอธิบายว่าโลกกำลังอยู่ในสภาวะ “ตื่นตูม” จากวิกฤติซ้อนวิกฤติที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งโรคระบาด สงคราม และภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ผู้คนและองค์กรไม่มีเวลาได้หยุดพักเพื่อฟื้นตัว น...

สำหรับการย้ายฐานการลงทุนอย่างมหาศาลในครั้งนี้ไม่ได้มีมาบ่อย 50 ปีมาครั้ง ถือเป็นโอกาสของไทย โดยการย้ายฐานการลงทุนมีมา 4-5 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากสงครามการค้า และหนีการดิสรัปชั่นที่มาประเทศไทยมีจำนวนไม่น้อย ทั้งนี้

สำหรับการย้ายฐานการลงทุนอย่างมหาศาลในครั้งนี้ไม่ได้มีมาบ่อย 50 ปีมาครั้ง ถือเป็นโอกาสของไทย โดยการย้ายฐานการลงทุนมีมา 4-5 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากสงครามการค้า และหนีการดิสรัปชั่นที่มาประเทศไทยมีจำนวนไม่น้อย ทั้งนี้ มองว่าเทรนด์นี้จะไม่จบง่ายๆ ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยก็ไม่ใช่สินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น ส่วนใหญ่ไทยจะได้สินค้าเป็นธุรกิจใหม่ เช่น อีวี อิเล็กทรอนิกส์ และดาต้าเซ็นเตอร์ เป็น...