ทะเลกําลังเดือดคลื่นความร้อนทางทะเลพุ่ง 3 เท่าใน 80 ปี จุดชนวนพายุรุนแ
ในขณะที่หลายคนเฝ้ามองอุณหภูมิบกและโอดครวญกับอากาศร้อนจัดที่แผดเผาเมืองแต่มีอีก “พลังงานเงียบ” ที่กำลังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในที่ที่คนทั่วไปไม่ทันสังเกตใต้ผืนน้ำมหาสมุทรนั่นเอง จากข้อมูลวิจัยล่าสุดพบว่า ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมาคลื่นความร้อนทางทะเลได้เพิ่มความรุนแรงและความถี่ขึ้นถึง 3 เท่า นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงานวิทยาศาสตร์ แต่คือสัญญาณอันตรายที่สะท้อนว่ามหาสมุทรโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ้ง คลื่นความร้อนทางทะเล (Marine Heatwaves) คือปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะเวลาต่อเนื่อง โดยมักกินเวลาตั้งแต่หลายวันจนถึงหลายเดือน และขยายวงกว้างจากภูมิภาคหนึ่งไปสู่อีกภูมิภาคหนึ่ง โดยสาเหตุหลักคือการสะสมความร้อนจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ผลกระทบของคลื่นความร้อนทางทะเลไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งแวดล้อมทางทะเลเท่านั้นแต่ยังสะเทือนถึงผู้คนที่พึ่งพาทรัพยากรทะเลเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิของผิวน้ำทะเลมีผลโดยตรงต่อการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน เช่น ไต้ฝุ่น เฮอร์ริเคน หรือไซโคลน ซึ่งพายุเหล่านี้ต้องใช้ “พลังงานความร้อนจากน้ำทะเล” เป็นเชื้อเพลิงเมื่อคลื่นความร้อนทางทะเลเกิดบ่อยขึ้น น้ำทะเลก็กลายเป็นแหล่งพลังงานมหาศาลให้กับพายุหมุนเขตร้อน จนทำให้ การเกิดพายุระดับ 4 หรือ 5 อาจกลายเป็นเรื่องธรรมดาในอนาคต หากเรายังไม่จัดการปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super marine heat waves) “ระบบนิเวศทางทะเลไม่เคยเจอไม่เคยเจอคลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง จนระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขนาดนี้มาก่อน” โบยิน ฮวง นักสมุทรศาสตร์จากสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติกล่าว ลอนดอน, 18 เม.ย. (ซินหัว) — การศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสารโพรซีดดิงส์ ออฟ เดอะ เนชันนัล อคาเดมี ออฟ ไซเอนส์ (Proceedings of the National Academy of Sciences) เปิดเผยว่าจำนวนวันที่มหาสมุทรทั่วโลกเผชิญกับคลื่นความร้อนผิวน้ำทะเลระดับรุนแรง เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน
นักวิจัยพบว่าในช่วงทศวรรษ 1940 ผิวน้ำทะเลทั่วโลกมีคลื่นความร้อนรุนแรงเฉลี่ยปีละราว 15 วัน แต่ในปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้นเกือบ 50 วันต่อปี โดยภาวะโลกร้อนเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเกือบครึ่งหนึ่งอนึ่ง คลื่นความร้อนทางทะเล หมายถึงช่วงเวลาที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าปกติอย่างมากและกินเวลาต่อเนื่องระยะหนึ่ง การศึกษาชิ้นนี้จัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากหลายสถาบัน ได้แก่ สถาบันเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อการศึกษาขั้นสูง มหาวิทยาลัยเรดดิง สถาบันวิทยาศาสตร์อวกาศนานาชาติ และมหาวิทยาลัยหมู่เกาะบาเลอาริก ซึ่งผลการศึกษายังพบว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เหตุการณ์คลื่นความร้อนทางทะเลมีแนวโน้มที่จะยาวนานขึ้นและรุนแรงมากยิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าคลื่นความร้อนทางทะเลสามารถทำลายระบบนิเวศใต้น้ำได้ อาทิ ทำให้แนวปะการังตาย ทำลายป่าสาหร่าย และเป็นอันตรายต่อทุ่งหญ้าทะเล ทั้งนี้ ผลกระทบจากคลื่นความร้อนทางทะเลยังลุกลามขยายออกไปไกลเกินกว่ามหาสมุทร โดยนักวิจัยเตือนว่าความถี่ที่เพิ่มขึ้นนี้อาจทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกมีเสถียรภาพน้อยลง และนำไปสู่พายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงและเกิดบ่อยมากขึ้นในบางภูมิภาค มหาสมุทรเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างแยกจากกันไม่ได้ โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสนับสนุนชีวิตบนบกอีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งในอดีตนั้นคลื่นความร้อนในทะเลไม่เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์จากสมาคมชีววิทยาทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ทั่วโลกได้ชี้ว่า ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
“ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว “และเมื่อคลื่นความร้อนใต้ทะเลยังคงเพิ่มขึ้น เราก็มีแนวโน้มที่จะเห็นการสูญเสียสายพันธุ์และระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้นทั่วโลก” ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate Change ทีมวิจัยได้เปิดเผยว่าในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 และ 2024 ที่ผ่านมานั้นมีวันที่เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 240% เมื่อเทืยบกับสถิติเดิม การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ชีวิตต่าง ๆ ต้องดิ้นรนมากขึ้นทั้งในแนวปะการัง การประมง และชุมชนชายฝั่ง ในยุโรปนั้นคลื่นความร้อนในทะเลทำให้อุณหภูมิพื้นดินในหมู่เกาะอังกฤษสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทำให้ประชากรปลาได้รับผลกระทบอย่างหนัก อุตุนิยมวิทยาเครือข่าย » อุตุนิยมวิทยา » การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน แต่ความจริงก็คือสถิติความร้อนในทะเลทั้งหมดกำลังถูกทำลายลง พื้นผิวมหาสมุทรเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ และผลกระทบสามารถรู้สึกได้ในระดับโลก
คลื่นความร้อนทางทะเลไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเท่านั้น บ่อยขึ้นและยาวนานขึ้นแต่ได้กลายเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบอุณหภูมิของน้ำสูงถึง สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4ºC ในสถานที่เช่นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ห่างไกล เช่น ทะเลบาเลียริก หรือชายฝั่งอังกฤษ ตั้งแต่ปลายปี 2024 เป็นต้นไป ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกำลังเผชิญสถานการณ์วิกฤต ของความร้อนที่คงอยู่ใต้ผิวน้ำ ทะเลแห่งนี้ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าว อุณหภูมิกำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึงสองถึงสามเท่าและอัตราปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นเวลาสองทศวรรษ ในพื้นที่ของทะเลอัลโบรันหรือทะเลแบเลียริก ความผิดปกติซ้ำๆ เกิน 4ºC ความแตกต่างเมื่อเทียบกับค่าปกติ ในขณะที่ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น อุณหภูมิจะยังคงสูงกว่า 2 องศาเซลเซียส น้ำทะเลแคนตาเบรียนและมหาสมุทรแอตแลนติกก็ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้เช่นกัน เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 67%โดยเพิ่มขึ้น 0,25ºC ต่อทศวรรษ การวอร์มอัพนี้แสดงถึง สัญญาณเตือนดาวเคราะห์มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจกได้มากกว่า 90% ทำหน้าที่เป็นตัวกันชนความร้อน หากปราศจากหน้าที่นี้ อุณหภูมิบนพื้นดินจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก Climate care เรื่องโลกร้อนที่ต้องรู้และแคร์ :ในวันที่ทะเลเดือด เราได้รับผลกระทบอย่างไร ปี 2024 นอกจากจะเป็นปีที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ แต่นั้นยังไม่พอ !!! เพราะเมื่อภาวะโลกร้อนบวกกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ยังทำให้น้ำทะเลและมหาสมุทรร้อนระอุ เข้าขั้นทะเลเดือด อุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 1 องศาสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป (the EU's Copernicus Climate Change Service) ออกมาให้ข้อมูลว่าเมื่อเดือนมีนาคม 2567 อุณหภูมิรายเดือนของน้ำทะเลพุ่งสูงแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 10 ที่ 21.07 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าสถิติ ก่อนหน้าในเดือนสิงหาคม 2566 ที่วัดได้ 20.98 องศาเซลเซียส
โดยมีสาเหตุมาจากการที่น้ำทะเลดูดซับความร้อนจากผิวโลก ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากักเก็บไว้จนมากเกินไป บวกกับการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ น้ำทะเลร้อนขึ้นผิดปกติ และเกิดขึ้นต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน จนกลายเป็นคลื่นความร้อนในมหาสมุทร (Marine Heatwaves) ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของมหาสมุทรทั้งโลก ซ้ำเติมให้สถานการณ์ เลวร้ายลงแม้ดูเหมือนว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเลเพียงแค่เล็กน้อย ไม่น่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเล คลื่นความร้อน ในมหาสมุทรจะสร้างความเครียดให้กับสิ่งมีชีวิต อาจถึงขั้นทำให้สัตว์บางชนิดตายได้ เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) ฝนตกหนัก เกิดพายุรุนแรงมากกว่าปกติ กระทบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วโลก - หญ้าทะเล จะได้รับความเสียหายจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง (ระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลน หญ้าทะเล มีประสิทธิภาพในการกักเก็บคาร์บอนสูงกว่าป่าบกถึง 4 เท่า) - เร่งให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น และความเข้มข้นของน้ำทะเลลดลง กระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล นอกจากนี้ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอาจทำให้มีตะกอนเพิ่มมากขึ้นในแนวปะการังที่อยู่บริเวณชายฝั่ง ซึ่งจะส่งผลให้ปะการังเสียหายถึงขั้นตายได้
People Also Search
- ทะเลกำลังเดือดคลื่นความร้อนทางทะเลพุ่ง 3 เท่าใน 80 ปี จุดชนวนพายุรุนแรง ...
- คลื่นความร้อนในทะเล รุนแรงขึ้น 3 เท่าใน 80 ปี ต้นเหตุพายุเกิดบ่อยขึ้น ...
- 'ทะเลเดือด' เป็นประวัติการณ์ เจอคลื่นความร้อนรุนแรง เกิดภัยพิบัติตลอดปี
- การศึกษาเผย "คลื่นความร้อนทางทะเลรุนแรง" เพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วง 80 ปี
- ศึกษาเผย 'คลื่นความร้อนทางทะเลรุนแรง' เพิ่มขึ้น 3 เท่าใน 80 ปี
- นักวิทยาศาสตร์เตือนสถานการณ์คลื่นความร้อนในทะเลกำลังวิกฤต หลังพบเจอถี่ ...
- คลื่นความร้อนทางทะเล: สาเหตุ ผลกระทบ และความท้าทายในปัจจุบัน
- ในวันที่ทะเลไม่เหมือนเดิม: ปรากฏการณ์ทะเลเดือด
- น้ำทะเลร้อนทุบสถิติ ทำอากาศร้อน พายุหนักกว่าที่เคย
- Climate care เรื่องโลกร้อนที่ต้องรู้และแคร์ :ในวันที่ทะเลเดือด เรา ...
ในขณะที่หลายคนเฝ้ามองอุณหภูมิบกและโอดครวญกับอากาศร้อนจัดที่แผดเผาเมืองแต่มีอีก “พลังงานเงียบ” ที่กำลังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในที่ที่คนทั่วไปไม่ทันสังเกตใต้ผืนน้ำมหาสมุทรนั่นเอง จากข้อมูลวิจัยล่าสุดพบว่า ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมาคลื่นความร้อนทางทะเลได้เพิ่มความรุนแรงและความถี่ขึ้นถึง 3 เท่า นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงานวิทยาศาสตร์
ในขณะที่หลายคนเฝ้ามองอุณหภูมิบกและโอดครวญกับอากาศร้อนจัดที่แผดเผาเมืองแต่มีอีก “พลังงานเงียบ” ที่กำลังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในที่ที่คนทั่วไปไม่ทันสังเกตใต้ผืนน้ำมหาสมุทรนั่นเอง จากข้อมูลวิจัยล่าสุดพบว่า ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมาคลื่นความร้อนทางทะเลได้เพิ่มความรุนแรงและความถี่ขึ้นถึง 3 เท่า นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงานวิทยาศาสตร์ แต่คือสัญญาณอันตรายที่สะท้อนว่ามหาสมุทรโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ...
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super...
นักวิจัยพบว่าในช่วงทศวรรษ 1940 ผิวน้ำทะเลทั่วโลกมีคลื่นความร้อนรุนแรงเฉลี่ยปีละราว 15 วัน แต่ในปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้นเกือบ 50 วันต่อปี โดยภาวะโลกร้อนเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเกือบครึ่งหนึ่งอนึ่ง คลื่นความร้อนทางทะเล
นักวิจัยพบว่าในช่วงทศวรรษ 1940 ผิวน้ำทะเลทั่วโลกมีคลื่นความร้อนรุนแรงเฉลี่ยปีละราว 15 วัน แต่ในปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้นเกือบ 50 วันต่อปี โดยภาวะโลกร้อนเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเกือบครึ่งหนึ่งอนึ่ง คลื่นความร้อนทางทะเล หมายถึงช่วงเวลาที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าปกติอย่างมากและกินเวลาต่อเนื่องระยะหนึ่ง การศึกษาชิ้นนี้จัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากหลายสถาบัน ได้แก่ สถาบันเมด...
“ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว
“ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว “และเมื่อคลื่นความร้อนใต้ทะเลยังคงเพิ่มขึ้น เราก็มีแนวโน้มที่จะเห็นการสูญเสียสายพันธุ์และระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้นทั่วโลก” ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate...
คลื่นความร้อนทางทะเลไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเท่านั้น บ่อยขึ้นและยาวนานขึ้นแต่ได้กลายเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบอุณหภูมิของน้ำสูงถึง สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4ºC ในสถานที่เช่นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ห่างไกล เช่น
คลื่นความร้อนทางทะเลไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเท่านั้น บ่อยขึ้นและยาวนานขึ้นแต่ได้กลายเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบอุณหภูมิของน้ำสูงถึง สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4ºC ในสถานที่เช่นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ห่างไกล เช่น ทะเลบาเลียริก หรือชายฝั่งอังกฤษ ตั้งแต่ปลายปี 2024 เป็นต้นไป...