นักวิจัยพบ การสูบน้ําใต้ดินทําแกนเอียงของโลกขยับ และส่งผลให้น้ําทะเลเพ

Leo Migdal
-
นักวิจัยพบ การสูบน้ําใต้ดินทําแกนเอียงของโลกขยับ และส่งผลให้น้ําทะเลเพ

งานวิจัยทางธรณีฟิสิกส์ชิ้นใหม่ค้นพบว่า การสูบน้ำใต้ดินปริมาณมหาศาลขึ้นมาใช้ ส่งผลให้แกนเอียงและการหมุนของโลกเปลี่ยนไป ทั้งยังส่งผลทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วย ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในเกาหลีใต้ พบว่า การกระจายตัวของมวลของน้ำบนโลก เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของแกนเอียงของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า แกนเอียงของโลกขยับไปจากตำแหน่งเดิมราว 31.5 นิ้วภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี ขณะที่ระดับของน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 0.24 นิ้ว การศึกษานี้ ทำการวิจัยข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 1993 ที่มีการนำน้ำใต้ดินปริมาณ 2,150 กิกะตันขึ้นมาใช้เพื่อการเกษตรกรรมและการอุปโภคบริโภคของมนุษย์ การศึกษาดังกล่าวเผยแพร่ในจดหมายข่าวการวิจัยทางด้านธรณีฟิสิกส์ โดยระบุว่า การที่ตำแหน่งแกนเอียงของโลกเปลี่ยนแปลงไป และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เป็นผลโดยตรงมาจากการสูบน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ “การศึกษาของเราพบว่า การเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดินเป็นสาเหตุที่แท้จริง ที่ส่งผลกระทบใหญ่ที่สุดต่อการเคลื่อนตัวของแกนหมุนของโลก” ซอ กีวอน หัวหน้าทีมวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล กล่าว งานวิจัยทางธรณีฟิสิกส์ชิ้นใหม่ค้นพบว่า การสูบน้ำใต้ดินปริมาณมหาศาลขึ้นมาใช้ ส่งผลให้แกนเอียงและการหมุนของโลกเปลี่ยนไป ทั้งยังส่งผลทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วย

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในเกาหลีใต้ พบว่า การกระจายตัวของมวลของน้ำบนโลก เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของแกนเอียงของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า แกนเอียงของโลกขยับไปจากตำแหน่งเดิมราว 31.5 นิ้วภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี ขณะที่ระดับของน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 0.24 นิ้ว การศึกษานี้ ทำการวิจัยข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 1993 ที่มีการนำน้ำใต้ดินปริมาณ 2,150 กิกะตันขึ้นมาใช้เพื่อการเกษตรกรรมและการอุปโภคบริโภคของมนุษย์ การศึกษาดังกล่าวเผยแพร่ในจดหมายข่าวการวิจัยทางด้านธรณีฟิสิกส์ โดยระบุว่า การที่ตำแหน่งแกนเอียงของโลกเปลี่ยนแปลงไป และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เป็นผลโดยตรงมาจากการสูบน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ “การศึกษาของเราพบว่า การเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดินเป็นสาเหตุที่แท้จริง ที่ส่งผลกระทบใหญ่ที่สุดต่อการเคลื่อนตัวของแกนหมุนของโลก” ซอ กีวอน หัวหน้าทีมวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล กล่าว งานวิจัยใหม่พบ “แกนโลกเกิดความเปลี่ยนแปลง” เพราะมนุษย์ “สูบน้ำบาดาล” มากเกินไปตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่า โลกของเราไม่ได้ตั้งตรงเป๊ะ ๆ แต่ทำมุมเอียงประมาณ 23.5 องศา และที่ผ่านมาก็ได้มีการตั้งสมมติฐานมาโดยตลอดว่า พฤติกรรมหลายอย่างของมนุษย์บนโลก กำลังทำให้แกนโลกเกิดความเปลี่ยนแปลง

ล่าสุดผลการวิจัยใหม่เปิดเผยว่า “การสูบน้ำบาดาล” จากแหล่งสำรองใต้ผิวดินตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อแกนโลก (Axis) โดยทำให้แกนโลกเอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 4.3 เซนติเมตรต่อปี น้ำบาดาลถือเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคที่สำคัญสำหรับผู้คนและปศุสัตว์ในฟาร์ม และช่วยในการชลประทานพืชผลเมื่อฝนขาดแคลน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นใหม่แสดงให้เห็นว่า การดึงน้ำใต้ดินมาใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายทศวรรษได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อโลก นักวิจัยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถสังเกตได้แม้กระทั่งจากบนพื้นผิวโลก เนื่องจากมีส่วนทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น ‘น้ำ’ ถือเป็นทรัพยากรที่จำเป็นที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก โดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราที่ต้องใช้น้ำเพื่อการบริโภค การปศุสัตว์ และการเกษตรกรรม แต่การศึกษาล่าสุดพบว่า การสูบน้ำจากบาดาลของมนุษย์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกเอียงมากขึ้น เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา กี-วอน ซอ (Ki-Weon Seo) หัวหน้าทีมวิจัยและ ศาสตราจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า “ขั้วการหมุนของโลกเปลี่ยนไปมากจริงๆ ..ซึ่งการศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดินส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนตัวของแกนหมุนของโลก” อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นได้จากบนพื้นผิวโลก เพราะการเอียงของโลกที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการสูบน้ำจากใต้ดินอย่างต่อเนื่องจะทำให้แกนหมุนของโลก เอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 1.7 นิ้ว (4.3 เซนติเมตร) ต่อปี

“ถึงเราจะไม่รู้สึกถึงการหมุนของโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศของโลกเป็นอย่างมาก” สุเรนทรา อธิการี (Surendra Adhikari) นักวิทยาศาสตร์การวิจัยฯ จาก NASA กล่าว เขาระบุต่อว่า ส่วนที่มีปัญหาภายในของโลกก็คือ ชั้นหินที่อยู่นอกสุดของชั้นโลก เพราะมันมีน้ำจำนวนมหาศาลประกอบอยู่ด้วย ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำหินที่เรียกว่า ‘ชั้นหินอุ้มน้ำ (Aquifer)’ ซึ่งคาดว่ามีปริมาณน้ำที่มากกว่าแม่น้ำและทะเลสาบบนพื้นผิวโลกรวมกันถึง 1,000 เท่า ในขณะที่บทความล่าสุดเกี่ยวกับการพังทลายของหินใน Dolomites ของ Italy ได้จุดประกายการอภิปรายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา การสนทนาได้เปลี่ยนไปสู่ประเด็นเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ชุมชนต่างๆ กำลังค้นพบว่ากิจกรรมของมนุษย์กำลังทำให้เกิดการทรุดตัวของพื้นดินอย่างรุนแรงในอัตราที่สูงกว่ากระบวนการธรรมชาติอย่างการสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขนาดของการจมของพื้นดินที่เกิดจากมนุษย์นั้นน่าตกใจ Central Valley ของ California ได้ทรุดตัวลง 28 ฟุตในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาเนื่องจากการสูบน้ำใต้ดิน Jakarta ประเทศ Indonesia เผชิญกับสภาวะที่รุนแรงยิ่งกว่า โดยส่วนเหนือของเมืองจมลง 28 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งเร็วกว่าอัตราการสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลโลกที่ 0.45 เซนติเมตรต่อปีมากกว่า 60 เท่า การทรุดตัวอย่างรุนแรงนี้ได้บังคับให้ Indonesia วางแผนสร้างเมืองหลวงใหม่ทั้งหมดบนเกาะ Borneo ปัญหานี้ขยายไปไกลกว่าเหตุการณ์ที่รู้จักกันดีเหล่านี้ บางส่วนของ Malaysia กำลังทรุดตัวเร็วกว่า Venice มากกว่า 20 เท่า ในขณะที่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายคล้ายกันเมื่อแหล่งเก็บน้ำใต้ดินถูกสูบออกเร็วกว่าที่สามารถเติมเต็มได้ตามธรรมชาติ เมื่อน้ำใต้ดินถูกสูบออกจากชั้นน้ำใต้ดิน มันจะขจัดแรงดันน้ำที่ช่วยรองรับน้ำหนักของดินและหินที่อยู่เหนือขึ้น สิ่งนี้ทำให้พื้นดินอัดตัวและทรุดลง เหมือนกับฟองน้ำที่ถูกบีบให้แห้ง ไม่เหมือนกับการทรุดตัวรูปแบบอื่นๆ กระบวนการนี้ส่วนใหญ่ไม่สามารถย้อนกลับได้ เมื่อพื้นดินอัดตัวแล้ว มันไม่ค่อยกลับสู่ความสูงเดิมแม้ว่าระดับน้ำจะถูกเติมคืน

มนุษย์ได้สูบน้ำใต้ดินมากพอที่จะเปลี่ยนการเอียงของโลก ‘น้ำ’ ถือเป็นทรัพยากรที่จำเป็นที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก โดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราที่ต้องใช้น้ำเพื่อการบริโภค การปศุสัตว์ และการเกษตรกรรม แต่การศึกษาล่าสุดพบว่า การสูบน้ำจากบาดาลของมนุษย์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกเอียงมากขึ้น เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา กี-วอน ซอ (Ki-Weon Seo) หัวหน้าทีมวิจัยและ ศาสตราจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า “ขั้วการหมุนของโลกเปลี่ยนไปมากจริงๆ ..ซึ่งการศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดินส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนตัวของแกนหมุนของโลก” อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นได้จากบนพื้นผิวโลก เพราะการเอียงของโลกที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการสูบน้ำจากใต้ดินอย่างต่อเนื่องจะทำให้แกนหมุนของโลก เอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 1.7 นิ้ว (4.3 เซนติเมตร) ต่อปี “ถึงเราจะไม่รู้สึกถึงการหมุนของโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศของโลกเป็นอย่างมาก” สุเรนทรา อธิการี (Surendra Adhikari) นักวิทยาศาสตร์การวิจัยฯ จาก NASA กล่าว เขาระบุต่อว่า ส่วนที่มีปัญหาภายในของโลกก็คือ ชั้นหินที่อยู่นอกสุดของชั้นโลก เพราะมันมีน้ำจำนวนมหาศาลประกอบอยู่ด้วย ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำหินที่เรียกว่า ‘ชั้นหินอุ้มน้ำ (Aquifer)’ ซึ่งคาดว่ามีปริมาณน้ำที่มากกว่าแม่น้ำและทะเลสาบบนพื้นผิวโลกรวมกันถึง 1,000 เท่า

People Also Search

งานวิจัยทางธรณีฟิสิกส์ชิ้นใหม่ค้นพบว่า การสูบน้ำใต้ดินปริมาณมหาศาลขึ้นมาใช้ ส่งผลให้แกนเอียงและการหมุนของโลกเปลี่ยนไป ทั้งยังส่งผลทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วย ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในเกาหลีใต้ พบว่า การกระจายตัวของมวลของน้ำบนโลก เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของแกนเอียงของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า

งานวิจัยทางธรณีฟิสิกส์ชิ้นใหม่ค้นพบว่า การสูบน้ำใต้ดินปริมาณมหาศาลขึ้นมาใช้ ส่งผลให้แกนเอียงและการหมุนของโลกเปลี่ยนไป ทั้งยังส่งผลทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วย ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในเกาหลีใต้ พบว่า การกระจายตัวของมวลของน้ำบนโลก เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของแกนเอียงของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า แกนเอียงของโลกขยับไปจากตำแหน่งเดิมราว 31.5 นิ้วภายในเวลาไม่ถึง ...

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในเกาหลีใต้ พบว่า การกระจายตัวของมวลของน้ำบนโลก เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของแกนเอียงของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า แกนเอียงของโลกขยับไปจากตำแหน่งเดิมราว 31.5 นิ้วภายในเวลาไม่ถึง 20

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในเกาหลีใต้ พบว่า การกระจายตัวของมวลของน้ำบนโลก เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของแกนเอียงของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า แกนเอียงของโลกขยับไปจากตำแหน่งเดิมราว 31.5 นิ้วภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี ขณะที่ระดับของน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 0.24 นิ้ว การศึกษานี้ ทำการวิจัยข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 1993 ที่มีการนำน้ำใต้ดินปริมาณ 2,150 กิกะตันขึ้นมาใช้เพื่อการเกษตรกรรม...

ล่าสุดผลการวิจัยใหม่เปิดเผยว่า “การสูบน้ำบาดาล” จากแหล่งสำรองใต้ผิวดินตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อแกนโลก (Axis) โดยทำให้แกนโลกเอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 4.3 เซนติเมตรต่อปี น้ำบาดาลถือเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคที่สำคัญสำหรับผู้คนและปศุสัตว์ในฟาร์ม และช่วยในการชลประทานพืชผลเมื่อฝนขาดแคลน

ล่าสุดผลการวิจัยใหม่เปิดเผยว่า “การสูบน้ำบาดาล” จากแหล่งสำรองใต้ผิวดินตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อแกนโลก (Axis) โดยทำให้แกนโลกเอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 4.3 เซนติเมตรต่อปี น้ำบาดาลถือเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคที่สำคัญสำหรับผู้คนและปศุสัตว์ในฟาร์ม และช่วยในการชลประทานพืชผลเมื่อฝนขาดแคลน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นใหม่แสดงให้เห็นว่า การดึงน้ำใต้ดินมาใช้อย่างต่อเนื...

“ถึงเราจะไม่รู้สึกถึงการหมุนของโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศของโลกเป็นอย่างมาก” สุเรนทรา อธิการี (Surendra Adhikari) นักวิทยาศาสตร์การวิจัยฯ จาก NASA

“ถึงเราจะไม่รู้สึกถึงการหมุนของโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศของโลกเป็นอย่างมาก” สุเรนทรา อธิการี (Surendra Adhikari) นักวิทยาศาสตร์การวิจัยฯ จาก NASA กล่าว เขาระบุต่อว่า ส่วนที่มีปัญหาภายในของโลกก็คือ ชั้นหินที่อยู่นอกสุดของชั้นโลก เพราะมันมีน้ำจำนวนมหาศาลประกอบอยู่ด้วย ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำหินที่เรียกว่า ‘ชั้นหินอุ้มน้ำ (Aquifer)’ ซึ่งคาดว่ามีปริมาณน้ำที่มากกว่า...

มนุษย์ได้สูบน้ำใต้ดินมากพอที่จะเปลี่ยนการเอียงของโลก ‘น้ำ’ ถือเป็นทรัพยากรที่จำเป็นที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก โดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราที่ต้องใช้น้ำเพื่อการบริโภค การปศุสัตว์ และการเกษตรกรรม แต่การศึกษาล่าสุดพบว่า การสูบน้ำจากบาดาลของมนุษย์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกเอียงมากขึ้น เมื่อวันที่ 15

มนุษย์ได้สูบน้ำใต้ดินมากพอที่จะเปลี่ยนการเอียงของโลก ‘น้ำ’ ถือเป็นทรัพยากรที่จำเป็นที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก โดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราที่ต้องใช้น้ำเพื่อการบริโภค การปศุสัตว์ และการเกษตรกรรม แต่การศึกษาล่าสุดพบว่า การสูบน้ำจากบาดาลของมนุษย์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกเอียงมากขึ้น เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา กี-วอน ซอ (Ki-Weon Seo) หัวหน้าทีมวิจัยและ ศาสตราจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกศึกษา มหาวิท...