นักวิทยาศาสตร์เตือน ทะเลทั่วโลกจะเข้าสู่จุดวิกฤตที่รุนแรงสุดในประวัติ
ทะเลผืนน้ำสีฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาคอยหล่อเลี้ยงมนุษย์มานานนับหมื่นนับพันปี เป็นทั้งชีวิต อาหาร แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ธุรกิจ สุขภาพ และการท่องเที่ยว เราเคยคิดว่าทะเลและมหาสมุทรเหล่านี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ถูกรบกวนได้ แต่ความเป็นจริงแล้วผืนน้ำนี้กลับอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนโลก กิจกรรมของมนุษย์กำลังเปลี่ยนแปลงทะเลและแนวชายฝั่งทั่วโลกอย่างลึกซึ่ง ในไม่ช้า ระบบนิเวศทางทะเลหลายแห่งอาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและตลอดไป ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การทำประมงเกินขนาด ภาวะกรด และการปรับภูมิทัศน์ของชายฝั่ง ทั้งหมดได้สร้างความเปราะบางให้กับทะเลทั่วโลก “มันเหมือนความตายที่ถูกเฉือนแล้วเฉือนอีกเป็นพัน ๆ ครั้ง” เบน ฮาลเพิร์น นักชีววิทยาทางทะเลและนักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา และหนึ่งในผู้เขียนผลการศึกษาใหม่นี้ กล่าว “มันจะกลายเป็นชุมชนของสิ่งมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์น้อยลง และมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเห็นมา” ตามรายงานใหม่จากศูนย์วิเคราะห์และสังเคราะห์ระบบนิเวศแห่งชาติสหรัฐฯ (NCEAS) และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา (UCSB) ซึ่งเผยแพร่บนวารสาร Science ได้พยายามสร้างแบบจำลองผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยรวบรวมจากงานวิจัยตั้งแต่ปี 2008 ทีมวิจัยได้สังเคราะห์ชุดข้อมูลทั่วโลก 17 ชุดเพื่อทำแผนที่ความรุนแรงและขอบเขตของกิจกรรมมนุษย์ในทะเลทั่วโลก ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจนั่นคือ ไม่มีพื้นที่ใดเลยที่ไม่ได้รับผลกระทบ และร้อยละ 41 ของสิ่งแวดล้อมทางทะเลของโลกนั้นอยู่ในอาการ ‘สาหัสสากรรจ์’ ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super marine heat waves) “ระบบนิเวศทางทะเลไม่เคยเจอไม่เคยเจอคลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง จนระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขนาดนี้มาก่อน” โบยิน ฮวง นักสมุทรศาสตร์จากสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติกล่าว รายงานวิจัยฉบับล่าสุดซึ่งรวบรวมข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์กว่า 160 คนทั่วโลก ระบุว่า โลกกำลังจะข้ามจุดที่ไม่มีวันหวนกลับ (Point of no return) ซึ่งหมายถึงจุดเปลี่ยนแปลงในระบบธรรมชาติที่เมื่อข้ามไปแล้วจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบถาวรและไม่สามารถย้อนกลับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของแนวปะการังเขตร้อน รายงานชี้ว่าตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา โลกได้เผชิญกับการฟอกขาวของปะการัง (Coral bleaching) ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ โดยแนวปะการังมากกว่า 80% ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้เกิดขึ้นแม้ภาวะโลกร้อนจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ยเพียง 1.4 องศาเซลเซียส ซึ่งต่ำกว่าขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียสตามที่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าเป็นจุดเสี่ยงสูงสุดสำหรับระบบนิเวศทั่วโลก
“น่าเศร้าที่เราแน่ใจแล้วว่าโลกข้ามจุดเปลี่ยนผ่านสำหรับแนวปะการังน้ำอุ่นหรือเขตร้อนไปแล้ว” — ศาสตราจารย์ทิม เลนตัน นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศและระบบโลกจากมหาวิทยาลัยเอกซิเตอร์ ผู้นำรายงานระบุ นับเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ประกาศว่าโลกข้ามจุดที่ไม่มีวันหวนกลับ (Point of no Return) ซึ่งอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมักจะถาวรในโลกธรรมชาติ นับเป็นครั้งแรกที่โลกได้เข้าสู่ ‘จุดพลิกผัน’ ทางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลังฉบับใหม่ระบุว่า อุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลกส่งผลให้ระบบนิเวศแนวปะการัง เข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะยาว และสร้างความเสี่ยงต่อการดำรงชีวิตของผู้คนหลายร้อยล้านคน เป็นที่ทราบกันดีว่า วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่า โลกอาจกำลังเผชิญกับ ‘ความจริงใหม่’ รายงาน Global Tipping Points Report ที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ (The University of Exeter) จากความร่วมมือจากนักวิจัยนานาชาติกว่า 160 คน เป็นรายงานที่ประเมินความเสี่ยงอันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ เช่น การพังทลายของแผ่นน้ำแข็ง ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น จนถึงการลดลงของพื้นที่ป่าในแอมะซอน เพื่อวิเคราะห์ว่า ระบบนิเวศต่างๆ ในโลกนั้น ใกล้ถึงจุดพลิกผันแล้วหรือยัง
เล่าก่อนว่า ‘จุดพลิกผัน’ (Tipping Point) คือจุดที่นักวิทยาศาสตร์ถือว่า ระบบนิเวศหลักได้เข้าสู่ภาวะที่เกิดความเสื่อมโทรมอย่างรุนแรง จนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจหวนคืน และอาจฟื้นฟูไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แม้การประเมินครั้งแรกเมื่อราว 2 ปีก่อน จะสร้างข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า โลกเราได้ถึงจุดพลิกผันทางสภาพภูมิอากาศแล้ว “วิกฤติสภาพภูมิอากาศ” เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ธารน้ำแข็งละลายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกา ที่ละลายจากเพิ่มขึ้น 4 เท่าตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ส่งผลให้ “ระดับน้ำทะเล” สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าการรักษาอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จะเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ดูเลือนรางเต็มที่ แต่ต่อให้ทั่วทั้งโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในตอนนี้ การวิเคราะห์ใหม่พบว่าระดับน้ำทะเลก็จะสูงขึ้นปีละ 1 ซม. ภายในสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งเร็วกว่าความเร็วที่ประเทศต่าง ๆ จะสามารถสร้างแนวป้องกันชายฝั่งได้ การศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Communications Earth and Environment ได้นำข้อมูลจากการศึกษาในช่วงที่อากาศอบอุ่นเมื่อ 3 ล้านปีก่อน จากการสังเกตการละลายของน้ำแข็งและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และแบบจำลองสภาพอากาศมาผสมผสานกัน พบว่าการสูญเสียมวลน้ำแข็งอย่างต่อเนื่องจากแผ่นน้ำแข็งเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อประชากรที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทั่วโลก
โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ภาวะโลกร้อนที่ 2.5-2.9 องศาเซลเซียส ซึ่งจะถึงจุดที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาตะวันตกจะพังทลายลง และจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 12 เมตร ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากไม่มีที่อยู่อาศัย ในตอนนี้ผู้คนราว 230 ล้านคนอาศัยอยู่ภายในระดับความสูงเหนือน้ำทะเลปัจจุบัน 1 เมตร และอีก 1,000 ล้านคนอาศัยอยู่ภายในระดับความสูงเหนือน้ำทะเล 10 เมตร “การจำกัดภาวะโลกร้อนให้ไม่เกิน 1.5°C จะถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่” คริส สโตกส์ (Chris Stokes) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเดอรัมในอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้เขียนหลัก กล่าว ซึ่งจะช่วยให้โลกหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านสภาพอากาศที่เลวร้ายได้หลายประการ “แต่แม้ว่าจะบรรลุเป้าหมายนี้ ระดับน้ำทะเลก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนปรับตัวได้ยากมาก” เขาเสริม ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Communications earth & environment เตือนว่าระดับน้ำทะเลจะยังคงสูงขึ้นในแบบควบคุมไม่ได้ แม้จะควบคุมภาวะโลกร้อนไม่ให้เกิน 1.5°C ซึ่งจะนำไปสู่การอพยพครั้งใหญ่ และเหตุการณ์นี้จะยังคงเกิดขึ้นแม้ระดับความร้อนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2°C ก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตสภาพอากาศปัจจุบันทำให้แผ่นน้ำแข็งยักษ์กรีนแลนด์และแอนตาร์กติกามีการละลายเพิ่มขึ้น 4 เท่าตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ซึ่งนำไปสู่ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น แต่เพื่อจำกัดผลกระทบต่าง ๆ หลายประเทศทั่วโลกจึงมีเป้าหมายรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C
อย่างไรก็ตามดูเหมือนเราจะยังมีความพยายามไม่มากพอ ทำให้เป้าหมายดังกล่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อพิจารณาจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นแทนที่จะเป็น 1.5°C โลกกลับมุ่งสู่ภาวะโลกร้อนที่ 2.5-2.9°C ซึ่งแน่นอนว่าจะก้าวข้ามจุด ‘หายนะ’ ที่ทำให้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกพังทลาย
People Also Search
- นักวิทยาศาสตร์เตือน ทะเลทั่วโลกจะเข้าสู่จุดวิกฤตที่รุนแรงสุดในประวัติ ...
- 'ทะเลเดือด' เป็นประวัติการณ์ เจอคลื่นความร้อนรุนแรง เกิดภัยพิบัติตลอดปี
- แนวปะการังโลกวิกฤต นักวิทย์ฯ ชี้ข้ามจุดเปลี่ยนที่ไม่อาจย้อนกลับได้แล้ว
- ทะเลโลกวิกฤต อุณหภูมิผิวน้ำร้อนขึ้นเป็นประวัติการณ์
- โลกร้อนเกินเยียวยา แนวปะการังน้ำอุ่นทั่งโลกพังทลาย
- รายงานใหม่จากนักวิจัยกว่า 160 คน ชี้ว่าแนวปะการังกำลังถดถอยในระยะยาว จน ...
- สถานการณ์ทะเลทั่วโลกวิกฤตหนัก พบอุณหภูมิสูงผิดปกติในรอบ 40 ปี ปลุกกระแส ...
- 'น้ำทะเล' ขึ้นสูง เมืองชายฝั่งจม เกิด 'การอพยพ' ครั้งใหญ่ หากลดโลกร้อน ...
- โลกเดือด-น้ำแข็งขั้วโลกละลาย-น้ำทะเลสูงขึ้นสัญญาณอันตรายภัยพิบัติโลก
- นักวิทยาศาสตร์เตือนระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นแบบ 'หายนะ' แม้เราจะสามารถ ...
ทะเลผืนน้ำสีฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาคอยหล่อเลี้ยงมนุษย์มานานนับหมื่นนับพันปี เป็นทั้งชีวิต อาหาร แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ธุรกิจ สุขภาพ และการท่องเที่ยว เราเคยคิดว่าทะเลและมหาสมุทรเหล่านี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ถูกรบกวนได้ แต่ความเป็นจริงแล้วผืนน้ำนี้กลับอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนโลก กิจกรรมของมนุษย์กำลังเปลี่ยนแปลงทะเลและแนวชายฝั่งทั่วโลกอย่างลึกซึ่ง
ทะเลผืนน้ำสีฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาคอยหล่อเลี้ยงมนุษย์มานานนับหมื่นนับพันปี เป็นทั้งชีวิต อาหาร แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ธุรกิจ สุขภาพ และการท่องเที่ยว เราเคยคิดว่าทะเลและมหาสมุทรเหล่านี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ถูกรบกวนได้ แต่ความเป็นจริงแล้วผืนน้ำนี้กลับอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนโลก กิจกรรมของมนุษย์กำลังเปลี่ยนแปลงทะเลและแนวชายฝั่งทั่วโลกอย่างลึกซึ่ง ในไม่ช้า ระบบนิเวศทางทะเลหลายแห่งอาจเปลี่ยน...
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super...
“น่าเศร้าที่เราแน่ใจแล้วว่าโลกข้ามจุดเปลี่ยนผ่านสำหรับแนวปะการังน้ำอุ่นหรือเขตร้อนไปแล้ว” — ศาสตราจารย์ทิม เลนตัน นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศและระบบโลกจากมหาวิทยาลัยเอกซิเตอร์ ผู้นำรายงานระบุ นับเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ประกาศว่าโลกข้ามจุดที่ไม่มีวันหวนกลับ (Point Of No
“น่าเศร้าที่เราแน่ใจแล้วว่าโลกข้ามจุดเปลี่ยนผ่านสำหรับแนวปะการังน้ำอุ่นหรือเขตร้อนไปแล้ว” — ศาสตราจารย์ทิม เลนตัน นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศและระบบโลกจากมหาวิทยาลัยเอกซิเตอร์ ผู้นำรายงานระบุ นับเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ประกาศว่าโลกข้ามจุดที่ไม่มีวันหวนกลับ (Point of no Return) ซึ่งอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมักจะถาวรในโลกธรรมชาติ นับเป็นครั้งแรกที่โลกได้เข้าสู่ ‘จุดพลิกผัน’ ทางการ...
เล่าก่อนว่า ‘จุดพลิกผัน’ (Tipping Point) คือจุดที่นักวิทยาศาสตร์ถือว่า ระบบนิเวศหลักได้เข้าสู่ภาวะที่เกิดความเสื่อมโทรมอย่างรุนแรง จนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจหวนคืน และอาจฟื้นฟูไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แม้การประเมินครั้งแรกเมื่อราว 2
เล่าก่อนว่า ‘จุดพลิกผัน’ (Tipping Point) คือจุดที่นักวิทยาศาสตร์ถือว่า ระบบนิเวศหลักได้เข้าสู่ภาวะที่เกิดความเสื่อมโทรมอย่างรุนแรง จนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจหวนคืน และอาจฟื้นฟูไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แม้การประเมินครั้งแรกเมื่อราว 2 ปีก่อน จะสร้างข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า โลกเราได้ถึงจุดพลิกผันทางสภาพภูมิอากาศแล้ว “วิกฤติสภาพภูมิอากาศ” เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ธารน้ำแข็งละ...
โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ภาวะโลกร้อนที่ 2.5-2.9 องศาเซลเซียส ซึ่งจะถึงจุดที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาตะวันตกจะพังทลายลง และจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 12 เมตร ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากไม่มีที่อยู่อาศัย ในตอนนี้ผู้คนราว 230
โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ภาวะโลกร้อนที่ 2.5-2.9 องศาเซลเซียส ซึ่งจะถึงจุดที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาตะวันตกจะพังทลายลง และจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 12 เมตร ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากไม่มีที่อยู่อาศัย ในตอนนี้ผู้คนราว 230 ล้านคนอาศัยอยู่ภายในระดับความสูงเหนือน้ำทะเลปัจจุบัน 1 เมตร และอีก 1,000 ล้านคนอาศัยอยู่ภายในระดับความสูงเหนือน้ำทะเล 10 เมตร “การจำกัดภาวะโลกร้อนให้ไม่เกิน 1.5°C จะถือเป...