ปี 2050 กระแสน้ําในมหาสมุทร อาจไหลช้าลง 20 ผลจากโลกร้อน เร่งธารน้ําแข็
“กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้” (Antarctic Circumpolar Current) เป็นกระแสน้ำตามเข็มนาฬิกาที่แรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่เชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียถึง 5 เท่า อีกทั้งแรงกว่าแม่น้ำแอมะซอน 100 เท่า นับเป็นกระแสน้ำที่มีบทบาทสำคัญในระบบสภาพอากาศ โดยมีอิทธิพลต่อการดูดซับความร้อนและคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทร และป้องกันไม่ให้น้ำอุ่นไหลไปถึงแอนตาร์กติกา กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters เผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างน้ำแข็งละลายจากชั้นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา และกระแสน้ำรอบขั้วโลกที่ไหลช้าลง ซึ่งเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากมีรายงานอีกฉบับที่พบว่า กระแสน้ำที่สำคัญในมหาสมุทรแอตแลนติกจะอ่อนกำลังลง นักวิจัยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และ Gadi เครื่องจำลองสภาพอากาศที่เร็วที่สุดของออสเตรเลีย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การละลายของน้ำแข็ง และสภาพลมที่มีต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โดยแบบจำลองนี้จับภาพคุณลักษณะที่คนอื่นมักมองข้าม เช่น กระแสน้ำวน ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่แม่นยำกว่ามาก ในการคาดการณ์อนาคตนี้ พบว่า น้ำแข็งที่ละลายจากทวีปแอนตาร์กติกาจะอพยพไปทางเหนือและเติมเต็มมหาสมุทรที่ลึกลงไป ส่งผลให้โครงสร้างความหนาแน่นของมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ถือเป็น “การปรับโครงสร้างใหม่ของพลวัตของมหาสมุทรใต้” กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้ ด้วยพลังการเคลื่อนตัวที่แรงกว่ากระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม (AMOC) ถึง 5 เท่า และไหลเชี่ยวกรากยิ่งกว่าแม่น้ำแอมะซอนถึง 100 เท่า
กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน, และแร่ธาตุสารอาหารไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยสายพานลำเลียงนี้เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน ทั้งยังทำหน้าที่ควบคุมสภาพภูมิอากาศของโลกทั้งใบด้วย แต่ทว่าน้ำจืดเย็นที่ละลายออกมาจากน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา ได้เจือจางน้ำเค็มของมหาสมุทรแอนตาร์กติกให้มีความเข้มข้นลดลง จนถึงระดับที่อาจไปรบกวนกระแสน้ำสำคัญในมหาสมุทรดังกล่าวได้ ผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิจัยออสเตรเลีย จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเพิ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Research Letters ฉบับวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่ากระแสน้ำเอซีซีอาจไหลช้าและอ่อนแรงลงกว่าในปัจจุบันถึง 20% ภายในปี 2050 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสรรพชีวิตบนโลก กระแสน้ำเอซีซีนั้นเปรียบเสมือน "คูน้ำ" ซึ่งล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกาที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง โดยช่วยกั้นขวางไม่ให้กระแสน้ำอุ่นเข้ามาใกล้ จนสามารถปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่บอบบางไม่ให้ละลายได้ นอกจากนี้ กระแสน้ำเอซีซียังทำหน้าที่เหมือนกำแพงป้อมปราการ ซึ่งขัดขวางไม่ให้สิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานเข้ามา อย่างเช่นสาหร่ายทะเลกระทิงใต้ (southern bull kelp) ซึ่งมีขนาดใหญ่และเกาะตัวกันเป็นแพขนาดมหึมา ในโลกปัจจุบันที่อะไรๆ ต่างเคลื่อนไหวไวขึ้น มีสิ่งหนึ่งที่ชะลอตัวช้าลง นั่นคือความเร็วของกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ (Antarctic Circumpolar Current) และการชะลอตัวครั้งนี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสภาพภูมิอากาศ ระบบอาหาร และระบบนิเวศวิทยาของมหาสมุทรอาร์กติก
กระแสน้ำที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเรา คือกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ กระแสน้ำนี้ไหลวนตามเข็มนาฬิการอบทวีปแอนตาร์กติกาที่ใต้สุดของโลก พลังงานแรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมในมหาสมุทรแอตแลนติกถึง 5 เท่า และมากกว่าแม่น้ำแอมะซอนกว่าร้อยเท่า ทั้งยังทำหน้าที่เป็นสายพานเชื่อมสามมหามุทรใหญ่ของโลก: แปซิฟิก, แอตแลนติก และอินเดียเอาไว้ด้วยกัน กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้เกิดจากกระทบกันของกระแสลมแรงตะวันตกบริเวณมหาสมุทรทางใต้ (Southern Westerly Winds) และการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิระหว่างเส้นศูนย์สูตรและขั้วโลก ยิ่งใกล้ขั้วโลกเท่าไหร่ ความหนาแน่นของมหาสมุทรเพิ่มมากขึ้นตามความเย็นและความเค็มที่เพิ่มขึ้นด้วย กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้นี่เอง ที่ทำให้ขั้วโลกใต้ยังเย็นอยู่ ขณะที่รอบทวีปแอนตาร์กติกาห้อมล้อมไปด้วยน้ำเย็นจัด น้ำเย็นยะเยือกที่จะคอยเคลื่อนตัวไปทางเหนือห่างจากทวีปหนาวจัดนี้ กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้นี่เองที่คอยรักษาเส้นแบ่งเอาไว้ นอกจากทำหน้าที่เป็นเขตกั้นแผ่นน้ำแข็งอาร์กติกขนาดมหึมา กระแสน้ำกระแสนี้ยังป้องกันสิ่งมีชีวิตภายนอกพื้นที่อีกด้วย การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้น้ำแข็งบริเวณทวีปแอนอาร์ติกละลาย น้ำเค็มบริเวณขั้วโลกเจือจาง และอาจส่งผลต่อความเร็วของกระแสน้ำ เป็นที่โต้เถียงกันมานานในหมู่นักวิชาการว่า วิกฤตโลกร้อนจะส่งผลให้ ‘การหมุนวนกระแสน้ำย้อนกลับตามแนวเหนือ-ใต้ในมหาสมุทรแอตแลนติก’ (Atlantic Meridional Overturning Circulation) หรือ AMOC อาจเกิดการอ่อนแรงลงจนล่มสลายไปภายในศตวรรษนี้หรือไม่นั้น ล่าสุดมีงานวิจัยที่ค้นพบคำตอบนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านสมุทรศาสตร์และชั้นบรรยากาศจากมหาวิทยาลัยอูเทรกต์ (Utrecht University) ในเนเธอร์แลนด์ นำโดย เรอเน ฟาน เวสเทน (René van Westen) ทดลองสร้างแบบจำลองใหม่ โดยเปลี่ยนแนวคิดของแบบจำลองเดิมที่มักจะวัดค่าความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิกระแสน้ำและปริมาณการไหลของน้ำจืดในแอตแลนติกเหนือ มาเป็นการกระจายจุดสังเกตเป็น 3 ละติจูด อันได้แก่ 34°S ในแอตแลนติกใต้ปลายแหลมกู๊ดโฮป, 26°N ตามแนวอ่าวเม็กซิโก และ 60°N ทางใต้ของกรีนแลนด์ และเมื่อนำผลการตรวจวัดมาเข้าสูตรคำนวณร่วมกับข้อมูลที่ได้จากโครงการระบบโลกโดยชุมชนนักวิจัย (Community Earth System Model) หรือ CESM พบว่า การหยุดชะงักหรือล่มสลายของ ‘การหมุนวนกระแสน้ำย้อนกลับตามแนวเหนือ-ใต้ในมหาสมุทรแอตแลนติก’...
เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมกรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 51°30’ N กลับมีอากาศที่อบอุ่นกว่าเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ที่ละติจูด 43°3’51 ทั้งที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า คำตอบคือ โลกเราเฉลี่ยอุณหภูมิโดยอาศัยการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร ดุจสายพานลำเลียงความร้อน-ความเย็นขนาดยักษ์ จุดเริ่มต้นการทำงานของสายพานนี้อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือใกล้เกาะกรีนแลนด์ สภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นจะทำให้น้ำทะเลบริเวณนี้และด้านเหนือขึ้นไปแข็งตัวและก่อให้เกิดแผ่นน้ำแข็งปกคลุม ขณะที่ผิวของน้ำทะเลกำลังก่อตัวเป็นน้ำแข็ง เกลือที่ละลายอยู่ในน้ำทะเลชั้นบนจะถูกดันลงไปอยู่ในน้ำทะเลชั้นล่าง ทำให้มวลของน้ำทะเลชั้นล่างหนักขึ้น เมื่อน้ำอุ่นจากกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมทางใต้ไหลขึ้นเหนือมาถึงบริเวณนี้ก็จะจมลงกลายเป็นกระแสน้ำเย็นไหลกลับลงทางใต้อีกครั้ง จากนั้นก็จะไหลกระจายไปสู่มหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก กระแสน้ำเย็นที่ไหลลึกนี้จะกลับเป็นน้ำอุ่นอีกครั้งในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก จากนั้นก็ไหลกลับมาครบวงจร การไหลขึ้นของน้ำอุ่นทำให้ยุโรปเหนือมีอากาศที่อุ่นกว่าฝั่งญี่ปุ่น การไหลลงของน้ำลึกที่เย็นจะพาเอาสารอาหารลงสู่ทางใต้ รวมทั้งรักษาอุณหภูมิของประเทศแถบศูนย์สูตรไม่ให้ร้อนเกินไป โลกจึงมีสมดุลทางอุณหภูมิดังที่เราคุ้นเคยมาตลอด มหาสมุทรไม่ใช่เพียงแค่ผืนสีน้ำเงินกว้างใหญ่เท่านั้น แต่มันมีชีวิต เคลื่อนไหวตลอดเวลา หายใจ ปั่นป่วน และตอนนี้กำลังอ่อนแอลงในรูปแบบที่เรียกได้ว่า วิกฤต โดยเฉพาะระบบหมุนเวียนของกระแสน้ำแอตแลนติกเมริไดโอแนล (AMOC) ซึ่งเป็นสายพานลำเลียงมหึมาของกระแสน้ำอุ่นและเย็น ช่วยควบคุมรูปแบบสภาพอากาศ รักษาเสถียรภาพของอุณหภูมิ และแม้แต่กำหนดปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ห่างไกลของโลก แต่ตอนนี้ระบบกระแสน้ำขนาดใหญ่นี้ในมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังอ่อนแอและชะลอตัวลง และนั่นอาจนำไปสู่หายนะได้ โดยกระแสน้ำแอตแลนติกเมริไดโอแนลเป็นเหมือนตัวควบคุมสภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติของโลก มันเคลื่อนย้ายน้ำอุ่นจากเขตร้อนขึ้นไปยังยุโรป ทำให้ฤดูหนาวที่นั่นอุ่นขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกันน้ำเย็นไหลกลับไปทางใต้ช่วยรักษาสมดุลของระบบนี้ ซึ่งระบบนี้มีอายุยาวนาน ทรงพลัง จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้มีบางสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับมหาสมุทร นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตเห็นพื้นที่ที่มีการเย็นลงผิดปกติในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ มักเรียกว่า cold blob (ก้อนเย็น) ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะเมื่อโลกอุ่นขึ้น อุณหภูมิของมหาสมุทรควรจะสูงขึ้น ไม่ใช่ลดลง จุดเย็นนี้บ่งชี้ถึงปัญหาที่ลึกซึ้งกว่า โดยเกี่ยวข้องกับกระแสน้ำอ่าวเม็กซิโก (Gulf Stream) ที่เป็นส่วนสำคัญของ AMOC กระแสน้ำอ่าวเม็กซิโกปกติจะพาน้ำอุ่นไปทางเหนือ แต่ถ้ามันชะลอตัวลงหรืออ่อนแอลง น้ำอุ่นที่จะไปถึงพื้นที่นั้นจะลดลง ทำให้เกิดการเย็นลงที่ไม่คาดคิด
ทั้งนี้ ผลกระทบของการรบกวนนี้ไม่ได้จำกัดแค่ในมหาสมุทร มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบลม ย้ายตำแหน่งและปริมาณฝนที่ตก และทำให้สภาพอากาศสุดขั้ว อาทิ พายุ ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน มีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน และชีวิตประจำวันทั่วโลก ทีมวิจัยจากกลุ่มความเป็นเลิศด้านการวิจัยสภาพภูมิอากาศ (CLICCS) ของมหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก และสถาบันแม็กซ์ แพลงค์ ด้านอุตุนิยมวิทยา ได้ศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด ข้อสรุปของพวกเขาคือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่กระแสน้ำแอตแลนติกเมริไดโอแนลอ่อนแอลงอาจสูงถึงหลายล้านล้านยูโรภายในปลายศตวรรษนี้ งานวิจัยใหม่พบ กระแสน้ำในมหาสมุทรไหลช้าลงแล้ว 30% เมื่อเทียบกับปี 1994 สาเหตุมาจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำแข็งละลายมากขึ้น จนไปขัดขวางการไหลของกระแสน้ำ สิ่งนี้เป็นข่าวร้ายต่อสภาพอากาศและระบบนิเวศทางทะเลทั้งหมด รายงานใหม่ล่าสุดนี้เผยแพร่ในวารสารออนไลน์ Nature Climate Change โดยทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ซึ่งตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำใต้มหาสมุทรที่ครอบคลุมน่านน้ำขั้วโลกใต้ระหว่างออสเตรเลียและแอนตาร์กติกาตั้งแต่ปี 1994 ถึง 2017 พวกเขาพบว่าการไหลของน้ำช้าลง 30% และคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นถึง 40% ภายในปี 2050 หรืออีก 27 ปีข้างหน้านี้ทั้งหมดเป็นเพราะการละลายของน้ำแข็งจากโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทำให้มหาสมุทรอุ่นขึ้น ยังไง?
พูดง่าย ๆ การไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทรเกิดจากความเค็มในน้ำที่แตกต่างกัน น้ำที่เค็มกว่าจะไหลลงไปด้านล่างเพราะหนักกว่า ซึ่งจะผลักน้ำที่เค็มน้อยกว่าให้ไหลขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้เกิดกระแสน้ำ แต่เมื่อน้ำแข็งละลาย มันไปเจือจางให้น้ำเค็มน้อยลง เหมือนซุปเข้มข้นที่เติมน้ำเปล่าลงไป รสชาติก็จาง มันทำให้น้ำไหลลงด้านล่างได้น้อยลง การไหลจึงช้าลง และมันมีผลต่อเครือข่ายกระแสน้ำใต้ทะเลทั่วโลก ซึ่งกระแสน้ำมีความสำคัญอย่างมากต่อระบบนิเวศในมหาสมทุร เป็นเหมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตทั้งหมด ทุกคนบนโลกกำลังเจอภาวะโลกรวน ล่าสุดนักวิทย์ออกมาเตือนถึงความเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกที่กำลังวิกฤต อาจหายไปในปี 2050 ซึ่งทำให้สภาพอากาศโลกรวนหนัก หายนะทางสภาพภูมิอากาศโลกจะเกิดขึ้น ผู้คนทางฝั่งยุโรปอาจแข็งตาย ควรเร่งหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากรายงานสถานการณ์ของระบบไหลเวียนของกระแสน้ำเส้นเมอริเดียนในมหาสมุทรแอตแลนติก (Meridional Overturning Circulation, AMOC) กำลังจะถูกทำลายเนื่องจากก๊าซเรือนกระจกและพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มนุษย์ปล่อย ทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกนี้ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์คาดว่าอาจหายไปอย่างเร็วสุดในปี 2050 หากยังไม่หยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นักวิทยาศาสตร์เผยถึงการศึกษาล่าสุด ที่วิเคราะห์การไหลเวียนของกระแสน้ำในเส้นเมอริเดียนในมหาสมุทรแอตแลนติก (Meridional Overturning Circulation, AMOC) ซึ่งถือเป็นกระแสน้ำที่ลำเลียงสารอาหารและสภาพอากาศของมหาสมุทร ต้องรู้จัก ถึงรักเสือ คุยกับคนหลังบ้านเพจตามติดชีวิตเสือโคร่งป่าตะวันตก
"ยุคที่โลกเดือด" คลื่นความร้อนปกคลุมระอุทั่วโลก อุณหภูมิสูงทำผลกระทบหนัก
People Also Search
- 'กระแสน้ำในมหาสมุทร' ช้าลง เพราะปล่อยคาร์บอนมากเกินไป ดันน้ำทะเลสูง
- กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Acc) ส่อแววไหลอ่อนลง 20% ในอีก 25 ปี ...
- กรุงเทพธุรกิจ - "กระแสน้ำในมหาสมุทร" อาจชะลอตัวลง 20%... | Facebook
- นักวิจัยเผย ภายในปี ค.ศ.2050 กระแสน้ำวนรอบรอบขั้วโลกใต้จะไหลอ่อนลง อาจ ...
- มนุษย์จะไหวมั้ย? เมื่อกระแสน้ำเย็นขั้วโลกใต้ ไหลช้าลง กระทบอะไรบ้าง
- ปี 2050 กระแสน้ำในมหาสมุทร อาจไหลช้าลง 20% ผลจากโลกร้อน เร่งธารน้ำแข็ง ...
- กระแสน้ำที่ทำหน้าที่รักษาสมดุลอุณหภูมิ ในมหาสมุทร แอตแลนติก อาจหยุดไหล ...
- กระแสน้ำในมหาสมุทรที่อ่อนตัวลง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้อย่างไร ...
- รายงานใหม่เตือน น้ำในสมุทรไหลช้าลง 30% เหตุน้ำแข็งละลายจากโลกร้อน หวั่น ...
- กระแสน้ำมหาสมุทรแอตแลนติกอาจหายไปในปี 2050 หากไม่หยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้” (Antarctic Circumpolar Current) เป็นกระแสน้ำตามเข็มนาฬิกาที่แรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่เชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียถึง 5 เท่า อีกทั้งแรงกว่าแม่น้ำแอมะซอน
“กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้” (Antarctic Circumpolar Current) เป็นกระแสน้ำตามเข็มนาฬิกาที่แรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่เชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียถึง 5 เท่า อีกทั้งแรงกว่าแม่น้ำแอมะซอน 100 เท่า นับเป็นกระแสน้ำที่มีบทบาทสำคัญในระบบสภาพอากาศ โดยมีอิทธิพลต่อการดูดซับความร้อนและคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทร และป้องกันไม่ให้น้ำอุ่นไหลไปถึงแอนตาร์กติกา กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอ...
กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน, และแร่ธาตุสารอาหารไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยสายพานลำเลียงนี้เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก,
กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน, และแร่ธาตุสารอาหารไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยสายพานลำเลียงนี้เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน ทั้งยังทำหน้าที่ควบคุมสภาพภูมิอากาศของโลกทั้งใบด้วย แต่ทว่าน้ำจืดเย็นที่ละลายออกมาจากน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา ได้เจือจางน้ำเค็มของมหาสมุทรแอนตาร์กติกให้มีความเข้มข...
กระแสน้ำที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเรา คือกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ กระแสน้ำนี้ไหลวนตามเข็มนาฬิการอบทวีปแอนตาร์กติกาที่ใต้สุดของโลก พลังงานแรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมในมหาสมุทรแอตแลนติกถึง 5 เท่า และมากกว่าแม่น้ำแอมะซอนกว่าร้อยเท่า ทั้งยังทำหน้าที่เป็นสายพานเชื่อมสามมหามุทรใหญ่ของโลก: แปซิฟิก, แอตแลนติก
กระแสน้ำที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเรา คือกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ กระแสน้ำนี้ไหลวนตามเข็มนาฬิการอบทวีปแอนตาร์กติกาที่ใต้สุดของโลก พลังงานแรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมในมหาสมุทรแอตแลนติกถึง 5 เท่า และมากกว่าแม่น้ำแอมะซอนกว่าร้อยเท่า ทั้งยังทำหน้าที่เป็นสายพานเชื่อมสามมหามุทรใหญ่ของโลก: แปซิฟิก, แอตแลนติก และอินเดียเอาไว้ด้วยกัน กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้เกิดจากกระทบกันของกระแสลมแรงตะวันตกบริเวณมหาสมุทรทาง...
เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมกรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 51°30’ N กลับมีอากาศที่อบอุ่นกว่าเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ที่ละติจูด 43°3’51 ทั้งที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า คำตอบคือ โลกเราเฉลี่ยอุณหภูมิโดยอาศัยการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร
เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมกรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 51°30’ N กลับมีอากาศที่อบอุ่นกว่าเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ที่ละติจูด 43°3’51 ทั้งที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า คำตอบคือ โลกเราเฉลี่ยอุณหภูมิโดยอาศัยการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร ดุจสายพานลำเลียงความร้อน-ความเย็นขนาดยักษ์ จุดเริ่มต้นการทำงานของสายพานนี้อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือใกล้เกาะกรีนแลนด์ สภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นจะทำใ...
ทั้งนี้ ผลกระทบของการรบกวนนี้ไม่ได้จำกัดแค่ในมหาสมุทร มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบลม ย้ายตำแหน่งและปริมาณฝนที่ตก และทำให้สภาพอากาศสุดขั้ว อาทิ พายุ ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน มีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ ผลกระทบของการรบกวนนี้ไม่ได้จำกัดแค่ในมหาสมุทร มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบลม ย้ายตำแหน่งและปริมาณฝนที่ตก และทำให้สภาพอากาศสุดขั้ว อาทิ พายุ ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน มีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน และชีวิตประจำวันทั่วโลก ทีมวิจัยจากกลุ่มความเป็นเลิศด้านการวิจัยสภาพภูมิอากาศ (CLICCS) ของมหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก และสถาบันแม็กซ์ แพลงค์...