ยุติภาวะโลกเดือดที่ต้นเหตุ นโยบายรัฐไทยต้องเลิกเอื้อฟอกเขียวนายทุน ยก
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้นำของประเทศไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก หรือที่เรารู้จักในนามประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of Parties : COP) ตั้งแต่การเข้าร่วมในความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อปี พ.ศ.2559 (รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) จนกระทั่งตอนนี้ในปี 2567 ที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กำลังจะเข้าร่วมการประชุม COP29 ที่อาร์เซอรไบจานในเดือนพฤศจิกายนนี้ อย่างไรก็ตาม นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลนั้นยังคงเอื้อประโยชน์ให้กับบรรษัทยักษ์ใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฟอสซิล อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และอุตสาหกรรมขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติเดินหน้าก่อวิกฤตโลกเดือดผ่านการฟอกเขียว ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ชุมชนท้องถิ่นที่เป็นกลุ่มคนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด แต่เป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด การเอื้อประโยชน์ให้กับบรรษัทยักษ์ใหญ่ทำให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางต้องเผชิญกับสารพัดวิกฤต (poly crisis) ทั้งผลกระทบจากหายนะจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งพวกเขาไม่ได้มีส่วนก่อขึ้น ผลกระทบเหล่านี้ซ้ำเติมให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและความยากจนที่มีอยู่เดิมทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ขณะที่แผน Net Zero และความเป็นกลางทางคาร์บอนกลายเป็นเครื่องมือของบรรษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ใช้แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ทำให้อุตสาหกรรมฟอสซิลและผู้ก่อมลพิษยังเดินหน้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปได้ ในเวที ยุติภาวะโลกเดือดที่ต้นเหตุ: System Change Not Climate Crisis โดย เครือข่ายประชาชนเพื่อความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและหยุดคาร์บอนเครดิต ได้จัดเวทีเสวนาในประเด็น วิพากษ์นโยบายโลกเดือด :จากความตกลงปารีสถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีมรดก คสช. ส่งต่อรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง พร้อมผู้เข้าร่วมการเสวนา บารมี ชัยรัตน์ สมัชชาคนจน เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ สุภาภรณ์ มาลัยลอย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ธารา บัวคำศรี กรีนพีซ ประเทศไทย ดำเนินรายการโดย วิภาพร วัฒนวิทย์ นักข่าวพลเมือง Thai PBS
นายกฯ เผยนโยบายลดโลกร้อน หลังโลกก้าวเข้าสู่ “ภาวะโลกเดือด” ชี้เป็นภัยคุกคามที่ต้องอาศัยความร่วมมือและดำเนินการแก้ไขโดยทันที คนส่วนใหญ่จะคุ้นชินกับคำว่า “ภาวะโลกร้อน” ซึ่งหมายถึง การที่โลกไม่สามารถระบายความร้อนที่ได้รับจากรังสีดวงอาทิตย์ออกไปได้อย่างปกติ จึงทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เป็นผลมาจากก๊าซเรือนกระจก และทั่วโลกกำลังรณรงค์เรื่องการลดโลกร้อนมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อปลายปี 2023 ทางสหประชาชาติ (UN) ได้แจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ชี้ว่ายุคโลกร้อน (Global Warming) ได้สิ้นสุดลงแล้ว และสิ่งที่จะเป็นต่อจากนี้คือ “ยุคโลกเดือด” (Global Boiling) ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถ้อยแถลงและนโยบายการเคลื่อนไหวเรื่องโลกร้อนในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการดำเนินการสภาพภูมิอากาศ (Climate Ambition Summit) ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 (UNGA78) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2023 ซึ่งมีใจความระบุว่า “เดือนกรกฎาคมปี 2023 เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดที่ได้เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สอดคล้องกับคำกล่าวของเลขาธิการสหประชาชาติที่ว่า “ยุคโลกร้อนได้สิ้นสุดลง และยุคโลกเดือดได้มาถึงแล้ว” วิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่เร่งด่วนที่สุดที่ต้องอาศัยความร่วมมือและการดำเนินการแก้ไขทันที” วันนี้ (16 ต.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายประชาชนเพื่อความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและหยุดคาร์บอนเครดิตจัดกิจกรรม “ยุติภาวะโลกเดือดที่ต้นเหตุ System Change Not Climate Crisis” โดยจะมีกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อจะยื่นหนังสือถึงนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แต่นายเฉลิมชัย ติดประชุม ครม.ที่ทำเนียบรัฐบาลจึงมอบหมายให้นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รองปลัดทส.
และนายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับหนังสือแทน โดยกลุ่มนักกิจกรรมกรีนพีซ ประเทศไทยได้ร่วมกันกางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “People before profit หยุดฟอกเขียวยักษ์ใหญ่คาร์บอน” ที่ด้านอาคาร 20 20 ชั้นของทส.โดยเรียกร้องรัฐบาลต้อง ยุติการเอื้อให้อุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษฟอกเขียว และต้องแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ต้นเหตุและเป็นธรรม จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าไม่มีการขออนุญาตและเป็นการลักลอบขึ้นไปโดยพลการ จึงแจ้งให้ตำรวจ สน.บางซื่อ ให้นำตัวผู้บุกรุกทั้งหมดไปดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย สำหรับกิจกรรมดังกล่าว เครือข่ายประชาชนเพื่อความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและหยุดคาร์บอนเครดิต รวมตัวเรียกร้อง Climate Justice ก่อนรัฐบาลไทยไปเจรจา ก่อนการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสมัยที่ 16(CBD COP16) ณ ประเทศโคลอมเบีย และการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 29 (COP29) ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11–22 พ.ย.นี้ ได้มีการขับเคลื่อนต่อจาก COP 28 ที่จะหยิบยกประเด็นเจรจาที่สำคัญ ในการกำหนดเป้าหมายทางการเงินใหม่ (NCQG) ภายหลังปี 2568 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ดำเนินการออกนโยบายระดับประเทศ จัดทำพ.ร.บ.ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนให้อนุกรรมการด้านกฎหมายมารีวิวอีกรอบหนึ่ง และเพื่อส่งต่อให้ประชาชนพิจารณาต่ออีกรอบหนึ่ง
เมื่อโลกไม่อาจหวนคืนแก้ไขได้อีกแล้ว ไทยพร้อมแค่ไหน รับมือโลกเดือด รัฐไทยจะแก้วิกฤตปากท้องคนไทยอย่างไร ท่ามกลางสงครามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ “ทุกอย่างคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่เราจะอยู่อย่างไรกับมัน เราจะลดการเปลี่ยนแปลงของโลกให้ช้าลงได้อย่างไร ตามที่นานาชาติเค้าตั้งเป้าหมายไว้ อันนี้เป็นสิ่งที่ท้าทาย” ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าว เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2567 เครือเนชั่น นำโดย สปริงนิวส์ ได้จัดเวทีสัมมนา Innovation Keeping The World ณ SCBX NEXT STAGE @NEXT TECH ชั้น 4 สยามพารากอน เพื่อ “คนรักษ์โลก” นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ขึ้นกล่าวในหัวข้อ “เป้าหมายไทย สู้ภาวะโลกเดือด” โดยนายปวิชได้กล่าวในฐานะรัฐบาลฯว่า คำประกาศ เวทีนโยบายและวิชาการสาธารณะกู้วิกฤติโลกเดือดและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยมือประชาชน(COP28 ภาคประชาชน)วันที่ 12 พฤศจิกายน 2566ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
พวกเราคือเสียงจากชนเผ่าพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น เกษตรกรรายย่อย ผู้หญิง ผู้สูงวัย คนรุ่นใหม่ NGOs นักวิชาการ และอีกมากมายจากประเทศไทยได้มารวมตัวกันในที่นี้ เพื่อจะประกาศเจตนารมณ์ในเวที COP28 กู้วิกฤติโลกเดือดที่ภาคประชาชนจัดขึ้น พวกเราสรุปบทเรียนว่า ปัญหาภาวะโลกเดือด หาใช่ปัญหาใหม่ แต่คือ ผลพวงของความล้มเหลวการพัฒนาของโลกและสังคมไทยในระบบทุนนิยมเสรี ที่ทำลายนิเวศ เปลี่ยนธรรมชาติเป็นสินค้าเพื่อความมั่งคั่ง แย่งชิงทรัพยากรจากชุมชนและสังคม เกิดความเสื่อมโทรมทางนิเวศ การแตกสลายของสังคม ความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมทั้งทางนิเวศและสังคม และแล้ววันนี้โลกได้ประจักษ์ชัดว่า การพัฒนาทุนนิยมเสรีกำลังพาประชาชนทั้งโลกไปสู่หายนะ เพียงเวลา 200 กว่าปีนับจากปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานฟอสซิล โลกต้องเผชิญภูมิอากาศโลกที่ร้อนที่สุดในช่วง 125,000 ปี จากปริมาณคาร์บอนสูงที่สุดในรอบ 2,000,000 ปี ซึ่งส่วนมากปล่อยจากประเทศกลุ่มทุนศูนย์กลางทุนนิยมเพื่อความมั่งคั่ง แต่ประชาชนค่อนโลก โดยเฉพาะคนยากจนกว่า 3,000 ล้านคนที่มีวิถี “คาร์บอนต่ำ” กลับได้รับผลกระทบรุนแรง สะท้อนความไม่เป็นธรรมสภาพภูมิอากาศที่มีตลอดมา คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ได้เตือนมาตั้งแต่ปี 1988 แล้วว่า การเผาผลาญพลังงานฟอสซิลเพื่อป้อนอุตสาหกรรม คือสาเหตุใหญ่ของภาวะโลกเดือด แม้ประชาคมโลกจะร่วมกำหนดอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 1992 จัดประชุมประเทศภาคีอนุสัญญา (COP) เรื่อยมา แต่จนในวันนี้ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศพุ่งสูงที่สุดตลอดยุคสมัยของมนุษย์ อุณหภูมิโลกได้สูงใกล้จะถึง 1.5 องศาฯ แล้ว แต่อุตสาหกรรมฟอสซิล อุตสาหกรรมเกษตรเคมี และอื่น ๆ ยังคงเติบโตปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ภายใต้วาทกรรมใหม่ เช่น NET ZERO, การชดเชยคาร์บอน คาร์บอนเครดิต ซึ่งถึงปัจจุบันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า ไม่ได้ช่วยลดคาร์บอน แต่เป็นผลประโยชน์ธุรกิจใหม่ และการฟอกเขียวครั้งใหญ่ คลื่น 4 ลูกที่กระทบกับโลกในช่วงที่ผ่านมาและต่อจากนี้ ได้แก่ คลื่นลูกแรก “โควิด-19” ต่อจากโควิด คือ “การถดถอยทางเศรษฐกิจ” จากการหยุดชะงัก คลื่นลูกที่สาม คือ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ที่จะกระทบกับโลกใบนี้ และ คลื่นลูกที่สี่ คือ “การเสื่อมสลายของความหลากหลายทางชีวภาพ” ขณะนี้ ทั่วโลกเรียกได้ว่ากำลังเร่งหาหนทางในการแก้ไขปัญหา Climate Change เพราะอนาคตอีกไม่ถึง 6 ปี เรียกว่าเป็น นาฬิกาสภาพอากาศ ที่กำลังนับถอยหลังชี้ชะตาโลก หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศา นับเป็นจุดตัดสำคัญ อาจส่งผลให้วิกฤติโลกรวนเลวร้ายถึงจุดที่กลับตัวไม่ได้
จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวในช่วง Special Talk : Climate Action Trend 2024 การขับเคลื่อนนโยบาย สู้ภาวะโลกรวน อย่างยั่งยืน ภายในงาน Next Step Thailand 2024 : Tech & Sustain ก้าวต่อไปของนวัตกรรมและความยั่งยืน จัดโดย สปริงนิวส์ ถึงการประชุม COP28 ล่าสุด ซึ่งพูดคุยกันอยู่ 4 เรื่อง คือ “การเร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน” ลดและยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ภายใน 2050 เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 3 เท่า ในปี 2030 และ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 2 เท่า ในปี 2030 “การปรับตัว” ให้ความสำคัญกับการปรับตัว ต่อผลกระทบจาก Climate Change รวมถึงฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก เมื่อนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลนั้นยังคงเอื้อประโยชน์ให้กับบรรษัทยักษ์ใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฟอสซิล อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และอุตสาหกรรมขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติเดินหน้าก่อวิกฤตโลกเดือดผ่านการฟอกเขียว ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ชุมชนท้องถิ่นที่เป็นกลุ่มคนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด แต่เป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ในช่วงพฤศจิกายน 2567 รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้เข้าร่วมการประชุม COP29 ที่อาร์เซอรไบจาน ซึ่งนอกจากจะเป็นการประชุมที่ผู้นำจะต้องผลักดันให้กองทุนชดเชยความสูญเสียและเสียหายให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ฟื้นฟูและเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่สะอาดและเป็นธรรมแล้ว กลไกตลาดคาร์บอนยังเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตามองในการประชุมครั้งนี้เช่นกัน เราจึงอยากฝากให้รัฐบาลนำเสียงของพี่น้องชาวไทยทุกคน ทุกพื้นที่ และข้อเรียกร้องของเครือข่ายพันธมิตรที่อยากเห็นความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและต้องการให้รัฐบาลไทยที่ร่วมเจรจาในเวที COP29 จะต้องหยุดวิกฤตโลกเดือดที่ต้นเหตุ เพราะวิกฤตนี้กำลังก่อให้เกิดวิกฤตทางด้านสิทธิมนุษยชน การประชุมครั้งนี้ต้องปฏิเสธวิธีการชดเชยคาร์บอน ที่อาจเป็นเครื่องมือให้กลุ่มผู้ก่อภาวะโลกเดือดใช้กลยุทธิ์นี้เพื่อการฟอกเขียว
คาร์บอนเครดิตเหมือนผู้ประกอบการล่าอาณานิคมในบริบททุนนิยม กลุ่มอุตสาหกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่กลับซื้อคาร์บอนเครดิต ผมถามว่าปัจจุบันนี้โลกเย็นขึ้นไหม ผมจึงมองว่าคาร์บอนเครดิตไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง รัฐบาลต้องออกกฎระเบียบข้อบังคับที่ผู้ประกอบการจะต้องแสดงว่าแต่ละปีเขาปลดปล่อยมลพิษ และสารที่ก่อให้เกิดโลกเดือดต่างๆ เท่าไหร่ และให้ประชาชนเข้าถึงและตรวจสอบได้ รัฐบาลต้องคิดค่าเสียหายเป็นในรูปแบบกลไกของนิติบัญญัติเพื่อให้กลุ่มที่ปล่อยมลพิษหลักต้องจ่ายเข้ากองทุนสำหรับจ่ายชดเชยผู้ที่ประสบภัยจากผลกระทบของภาวะโลกเดือด ผมเชื่อว่าคนไทยไม่ต้องการคาร์บอนเครดิตถ้าได้รับการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและตรงไปตรงมา วันนี้ (16 ต.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายประชาชนเพื่อความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและหยุดคาร์บอนเครดิตจัดกิจกรรม “ยุติภาวะโลกเดือดที่ต้นเหตุ System Change Not Climate Crisis” โดยจะมีกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อจะยื่นหนังสือถึงนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แต่นายเฉลิมชัย ติดประชุม ครม.ที่ทำเนียบรัฐบาลจึงมอบหมายให้นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รองปลัดทส. และนายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับหนังสือแทน โดยกลุ่มนักกิจกรรมกรีนพีซ ประเทศไทยได้ร่วมกันกางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “People before profit หยุดฟอกเขียวยักษ์ใหญ่คาร์บอน” ที่ด้านอาคาร 20 20 ชั้นของทส.โดยเรียกร้องรัฐบาลต้อง ยุติการเอื้อให้อุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษฟอกเขียว และต้องแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ต้นเหตุและเป็นธรรม จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าไม่มีการขออนุญาตและเป็นการลักลอบขึ้นไปโดยพลการ จึงแจ้งให้ตำรวจ สน.บางซื่อ ให้นำตัวผู้บุกรุกทั้งหมดไปดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย
สำหรับกิจกรรมดังกล่าว เครือข่ายประชาชนเพื่อความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและหยุดคาร์บอนเครดิต รวมตัวเรียกร้อง Climate Justice ก่อนรัฐบาลไทยไปเจรจา ก่อนการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสมัยที่ 16(CBD COP16) ณ ประเทศโคลอมเบีย และการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 29 (COP29) ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11–22 พ.ย.นี้ ได้มีการขับเคลื่อนต่อจาก COP 28 ที่จะหยิบยกประเด็นเจรจาที่สำคัญ ในการกำหนดเป้าหมายทางการเงินใหม่ (NCQG) ภายหลังปี 2568
People Also Search
- ยุติภาวะโลกเดือดที่ต้นเหตุ: นโยบายรัฐไทยต้องเลิกเอื้อฟอกเขียวนายทุน ยก ...
- หยุดโลกร้อนที่ต้นเหตุ ยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ชาติ เปลี่ยนทิศทางการพัฒนา
- ย้อนดูนโยบายรัฐบาลในวันที่เราเข้าสู่สภาวะ "โลกเดือด" แทน "โลกร้อน"
- ติดป้ายประท้วง "โลกเดือด" ตึก 20 ชั้นทส.ก่อนถกเวที Cop 29
- บทบาทรัฐไทย พร้อมแค่ไหน แก้วิกฤตโลกเดือด?
- "คาร์บอนเครดิต" เอื้อฟอกเขียว ! กรีนพีซ-ภาคี ติดเบรกก่อนไป Cop29
- คำประกาศ : เวทีนโยบายและวิชาการสาธารณะ กู้วิกฤติโลกเดือดและความหลากหลาย ...
- '5 ยุทธศาสตร์-6 กลไก' แก้โลกเดือด นับถอยหลัง สู่เป้าหมาย Net Zero
- ไฮปาร์คเน้น ๆ จากม็อบหยุดวิกฤตโลกเดือดที่ต้นเหตุ : ประชาชนถาม รัฐบาล ...
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้นำของประเทศไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก หรือที่เรารู้จักในนามประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference Of Parties : COP) ตั้งแต่การเข้าร่วมในความตกลงปารีส (Paris
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้นำของประเทศไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก หรือที่เรารู้จักในนามประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of Parties : COP) ตั้งแต่การเข้าร่วมในความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อปี พ.ศ.2559 (รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) จนกระทั่งตอนนี้ในปี 2567 ที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กำลังจะเข้าร...
นายกฯ เผยนโยบายลดโลกร้อน หลังโลกก้าวเข้าสู่ “ภาวะโลกเดือด” ชี้เป็นภัยคุกคามที่ต้องอาศัยความร่วมมือและดำเนินการแก้ไขโดยทันที คนส่วนใหญ่จะคุ้นชินกับคำว่า “ภาวะโลกร้อน” ซึ่งหมายถึง การที่โลกไม่สามารถระบายความร้อนที่ได้รับจากรังสีดวงอาทิตย์ออกไปได้อย่างปกติ จึงทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
นายกฯ เผยนโยบายลดโลกร้อน หลังโลกก้าวเข้าสู่ “ภาวะโลกเดือด” ชี้เป็นภัยคุกคามที่ต้องอาศัยความร่วมมือและดำเนินการแก้ไขโดยทันที คนส่วนใหญ่จะคุ้นชินกับคำว่า “ภาวะโลกร้อน” ซึ่งหมายถึง การที่โลกไม่สามารถระบายความร้อนที่ได้รับจากรังสีดวงอาทิตย์ออกไปได้อย่างปกติ จึงทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เป็นผลมาจากก๊าซเรือนกระจก และทั่วโลกกำลังรณรงค์เรื่องการลดโลกร้อนมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อปลายปี 2023 ทางสหประชาชาติ...
และนายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับหนังสือแทน โดยกลุ่มนักกิจกรรมกรีนพีซ ประเทศไทยได้ร่วมกันกางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “People Before Profit หยุดฟอกเขียวยักษ์ใหญ่คาร์บอน”
และนายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับหนังสือแทน โดยกลุ่มนักกิจกรรมกรีนพีซ ประเทศไทยได้ร่วมกันกางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “People before profit หยุดฟอกเขียวยักษ์ใหญ่คาร์บอน” ที่ด้านอาคาร 20 20 ชั้นของทส.โดยเรียกร้องรัฐบาลต้อง ยุติการเอื้อให้อุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษฟอกเขียว และต้องแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ต้นเหตุและเป็นธรรม จากการตรวจสอบเบื้องต้น...
เมื่อโลกไม่อาจหวนคืนแก้ไขได้อีกแล้ว ไทยพร้อมแค่ไหน รับมือโลกเดือด รัฐไทยจะแก้วิกฤตปากท้องคนไทยอย่างไร ท่ามกลางสงครามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ “ทุกอย่างคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่เราจะอยู่อย่างไรกับมัน เราจะลดการเปลี่ยนแปลงของโลกให้ช้าลงได้อย่างไร ตามที่นานาชาติเค้าตั้งเป้าหมายไว้ อันนี้เป็นสิ่งที่ท้าทาย”
เมื่อโลกไม่อาจหวนคืนแก้ไขได้อีกแล้ว ไทยพร้อมแค่ไหน รับมือโลกเดือด รัฐไทยจะแก้วิกฤตปากท้องคนไทยอย่างไร ท่ามกลางสงครามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ “ทุกอย่างคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่เราจะอยู่อย่างไรกับมัน เราจะลดการเปลี่ยนแปลงของโลกให้ช้าลงได้อย่างไร ตามที่นานาชาติเค้าตั้งเป้าหมายไว้ อันนี้เป็นสิ่งที่ท้าทาย” ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าว เมื่อวันที...
พวกเราคือเสียงจากชนเผ่าพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น เกษตรกรรายย่อย ผู้หญิง ผู้สูงวัย คนรุ่นใหม่ NGOs นักวิชาการ และอีกมากมายจากประเทศไทยได้มารวมตัวกันในที่นี้ เพื่อจะประกาศเจตนารมณ์ในเวที
พวกเราคือเสียงจากชนเผ่าพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น เกษตรกรรายย่อย ผู้หญิง ผู้สูงวัย คนรุ่นใหม่ NGOs นักวิชาการ และอีกมากมายจากประเทศไทยได้มารวมตัวกันในที่นี้ เพื่อจะประกาศเจตนารมณ์ในเวที COP28 กู้วิกฤติโลกเดือดที่ภาคประชาชนจัดขึ้น พวกเราสรุปบทเรียนว่า ปัญหาภาวะโลกเดือด หาใช่ปัญหาใหม่ แต่คือ ผลพวงของความล้มเหลวการพัฒนาของโลกและสังคมไทยในระบบทุนนิยมเสรี ที่ทำลายนิเวศ เปลี่ยนธรรมชาติเป็นสินค้าเพื่อความมั...