รู้จัก ปะการังฟอกขาว หายนะครั้งใหญ่จากความร้อนในมหาสมุทร และครั้งนี้

Leo Migdal
-
รู้จัก ปะการังฟอกขาว หายนะครั้งใหญ่จากความร้อนในมหาสมุทร และครั้งนี้

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาเป็นเวลาอันยาวนาน ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น และเกิดสภาพอากาศแปรปรวน (climate change) จากข้อมูลปี 2023 ระบุว่า โลกมีอุณหภูมิร้อนกว่ายุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมประมาณ 1.48 องศาเซลเซียส ขณะที่อุณหภูมิน้ำทะเลสูงสุดเช่นกัน เมื่อน้ำร้อนก็ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ปะการัง ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้เกิดปะการังฟอกขาว องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration) หรือ NOAA ได้ประกาศว่าเป็นปะการังฟอกขาวครั้งที่ใหญ่ที่สุด เป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ สำหรับปะการังฟอกขาว เป็นสภาวะที่ปะการังสูญเสียสาหร่ายเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื่อ ทำให้ปะการังอ่อนแอเพราะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและปะการังอาจตายไปในที่สุดถ้าหากไม่สามารถทนต่อสภาวะนี้ได้ อ่านข่าว : โลกเดือด! อุณหภูมิไทยแตะ 43 องศาฯ ปะการังฟอกขาว

แนวปะการังถูกขนานนามว่าเป็น "ป่าฝนแห่งท้องทะเล" เพราะแม้จะครอบคลุมพื้นที่เพียง 1% ของพื้นมหาสมุทร แต่กลับเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตทางทะเลกว่า 1 ใน 3 ของโลก และสนับสนุนชีวิตผู้คนมากกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก แต่ตอนนี้ ‘บ้าน’ เหล่านั้นกำลังกลายเป็น 'สุสานใต้น้ำ' ตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 เป็นต้นมา โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ เมื่อแนวปะการังมากกว่า 84% ครอบคลุมอย่างน้อย 83 ประเทศและดินแดนทั่วโลกต้องเผชิญกับอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงเกินค่าปกติอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้ได้จุดชนวนให้เกิดภาวะปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching) ในวงกว้าง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าเป็นการฟอกขาวที่รุนแรงที่สุด และแพร่กระจายกว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ นี่ไม่ใช่เพียงแค่ภัยพิบัติทางธรรมชาติเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณเตือนอันน่าหวาดหวั่นถึงผลกระทบโดยตรงของ ‘ภาวะโลกร้อน’ (Global Warming) ที่กำลังกัดกร่อนระบบนิเวศทางทะเลที่เปราะบางและสำคัญที่สุดในโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนวปะการัง ซึ่งเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตทางทะเลนับล้านชนิด และเป็นแหล่งพึ่งพิงของมนุษย์นับพันล้านชีวิต กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตขั้นรุนแรง เหตุการณ์ปะการังฟอกขาวในครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแนวปะการัง Great Barrier Reef ในออสเตรเลียที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แนวปะการังในทะเลแคริบเบียน เขตน่านน้ำของมหาสมุทรอินเดีย ไปจนถึงพื้นที่ทางชายฝั่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศูนย์กลางของความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ตามรายงานล่าสุดจาก International Coral Reef Initiative (ICRI) และองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) เหตุการณ์นี้นับเป็นการฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 4 ที่มีการบันทึกไว้ และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เป็นครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสิบปี สะท้อนถึงความเร่งด่วนที่โลกต้องเผชิญหน้าและลงมือแก้ไขก่อนที่แนวปะการังจะกลายเป็นเพียงความทรงจำใต้ทะเล ความร้อนของมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้นจากวิกฤตโลกร้อนตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการังครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้

สำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติเปิดเผยว่า มีการฟอกขาวของแนวปะการังครั้งใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 อ้างอิงจากข้อมูลดาวเทียมที่ระบุว่า มีพื้นที่แนวปะการังกว่า 77% ทั่วโลก ตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจนเกิดการฟอกขาว ซึ่งถือเป็นการฟอกขาวที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังใน 74 ประเทศและดินแดน ภาวะปะการังฟอกขาวเกิดจากความเครียดของปะการัง เนื่องจากความร้อนของโลกทำให้น้ำในมหาสมุทรที่อุ่นขึ้น โดยปะการังจะขับสาหร่ายสีสันสวยงามที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อออกไป หากไม่มีสาหร่ายที่มีประโยชน์เหล่านี้ ปะการังก็จะซีด เสี่ยงต่อการอดอาหารและโรคภัยไข้เจ็บ แม้ว่าปะการังที่ฟอกขาวจะยังไม่ได้ตายในทันที แต่จะกลับมาฟื้นตัวได้ก็ต่อเมื่ออุณหภูมิของมหาสมุทรเย็นลงเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า มีปะการังอย่างน้อย 14% ที่ตายไปจากเหตุการณ์ฟอกขาวทั่วโลกสองครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งนับเป็นการสูญเสียที่สูงมาก เพื่อตอบสนองต่อสถิติการฟอกขาว นักวิทยาศาสตร์ได้เรียกร้องให้มีการประชุมฉุกเฉินพิเศษเกี่ยวกับแนวปะการังในการประชุมสุดยอดสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (COP16) ที่ประเทศโคลอมเบียในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งผู้นำโลกจะร่วมกันหารือถึงกลยุทธ์สุดท้ายเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ของปะการัง รวมถึงการปกป้องและการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูความเสียหายด้วย รู้หรือไม่?

ปะการัง 84% ทั่วโลกกำลังเผชิญ “วิกฤตฟอกขาว” ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และเราทุกคนอาจมีส่วนร่วมในหายนะครั้งนี้โดยไม่รู้ตัว ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โลกต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปีที่ผ่านมาก็ได้รับการบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ปรากฏการณ์โลกร้อนขณะนี้ไม่เพียงทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนระอุ แต่ยังส่งผลทำลายล้างสิ่งมีชีวิตใต้น้ำโดยเฉพาะ “แนวปะการัง” ซึ่งถือเป็นระบบนิเวศที่เปราะบางและทรงคุณค่าที่สุดระบบหนึ่งของโลก ตามรายงานล่าสุดจาก International Coral Reef Initiative (ICRI) แนวปะการังทั่วโลกกว่า 84% ได้รับผลกระทบจากการฟอกขาว ซึ่งเป็นผลมาจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงเกินค่าปกติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิด “การฟอกขาวระดับโลก ครั้งที่ 4” นับตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ขณะที่องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ หรือ NOAA ของสหรัฐฯ ก็ออกมายืนยันว่าโลกกำลังเกิดมหาวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุด โดยปะการังจากทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบราวๆ 83 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่รุนแรงที่สุดในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าน้ำทะเลอาจมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสภายในทศวรรษหน้า และจะทำให้ปะการังกว่าร้อยละ 70-90 ทั่วโลก ฟอกขาวและตายแบบไม่สามารถฟื้นกลับมาได้อีกแล้ว ปะการังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร และแหล่งเพาะพันธุ์ของสัตว์ทะเลนานาชนิด แต่ปะการังมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ซึ่งสภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อปะการังทำให้เกิดภาวะ “ฟอกขาว”

ปะการังฟอกขาวเป็นปรากฏการณ์ที่เนื้อเยื่อปะการังเกิดการสูญเสียสาหร่ายเซลล์เดียวที่ชื่อว่า ซูแซนเทลลี่ (zooxanthellae) ซึ่งสาหร่ายชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์แสง ผลิตพลังงาน และสร้างสีสันที่สวยงามสดใสให้กับปะการัง ปะการังและสาหร่ายซูแซนเทลลี่พึ่งพาอาศัยและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยปะการังจะเป็นที่อยู่อาศัยแก่สาหร่ายชนิดนี้ ส่วนสาหร่ายซูแซนเทลลี่จะนำของเสีย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ไนเตรท ฟอสเฟต ออกจากปะการังและนำมาใช้สร้างอาหาร ดังนั้น หากปะการังและสาหร่ายซูแซนเทลลี่แยกจากกันก็จะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของทั้งสองชนิด สาเหตุที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของปะการังจนเกิดการฟอกขาวมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ สารเคมี และมลพิษต่าง ๆ ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ทั้งชุมชน เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมที่ไหลลงสู่ทะเล ทำให้สาหร่ายซูแซนเทลลี่หนีออกจากเนื้อเยื่อของปะการัง เพื่อหาที่อยู่ใหม่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ทำให้ปะการังมีสีซีดจางลง นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของความเค็มในน้ำทะเลอย่างรวดเร็วและภาวะโลกร้อน (global warming) ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นและร้อนผิดปกติ ปะการังไม่สามารถปรับตัวและทนต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ จึงส่งผลให้ปะการังเกิดการฟอกขาวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศใต้ท้องทะเล เนื่องจากทำให้สูญเสียแหล่งอาหาร แหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งอนุบาลของสัตว์ทะเล จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าสัตว์ทะเลจำนวนมากจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย จำนวนประชากรของสัตว์ทะเลลดลง และมีความเสี่ยงที่จะทำให้สัตว์ทะเลมีโอกาสสูญพันธุ์จนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและความหลากหลายทางชีวภาพใต้ท้องทะเล การหยุดยั้งปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน โดยแนวทางสำคัญที่ทุกคนสามารถร่วมมือกันทำได้ คือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การเผาไหม้ในอุตสาหกรรม และการเผาป่า เป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน เพื่อลดอุณหภูมิของโลกและน้ำทะเล ซึ่งจะช่วยลดภาวะฟอกขาวของปะการังได้อีกด้วย นอกจากนี้ การอนุรักษ์แนวปะการังและการป้องกันมลพิษทางทะเล ควรมีมาตรการในการป้องกันและจัดการมลพิษจากน้ำเสีย สารเคมี และการประมงเกินขนาด รวมถึงการห้ามใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล เพื่อรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมทางทะเลให้มีความสมบูรณ์ มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของปะการังต่อไป ทุกคนคงเห็นแล้วว่า ปะการังฟอกขาวส่งผลกระทบที่ชัดเจนมาก ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล แต่ยังส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชุมชนชายฝั่งและชาวประมงที่พึ่งพาทรัพยากรทางทะเล คงถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องตระหนักและร่วมมือกันลดภาวะโลกร้อนและดูแลรักษาความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งบนบกและในน้ำ เพื่อคืนความสมดุลให้ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศทางทะเลให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์และสภาพแวดล้อมดีขึ้นอีกครั้ง คุยกับนักชีววิทยาผู้ศึกษาวิวัฒนาการ ชี้การฟอกขาวเกิดจาก 'ภาวะเครียด' ซึ่งอาจไม่ใช่แค่ความร้อน พร้อมเปิดประเด็นที่เหล่านักวิทยาศาสตร์กังวล หากปะการังปรับตัวไม่ทันอากาศที่เปลี่ยนฉับพลัน! เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อหลายสำนักทั้งไทยและต่างประเทศ ต่างพากันนำเสนอเรื่อง "ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่" เพื่อเน้นย้ำให้ 'มนุษย์' ได้เห็นความเป็นไปของโลกใบนี้ ที่นับวันยิ่งเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ 'แย่ลง'

สำหรับ 'Coral bleaching' หรือ 'ปะการังฟอกขาว' ครั้งใหญ่นี้ ถือเป็นรอบที่ 4 ของโลก โดย 3 ครั้งที่ผ่านมาเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1998, ค.ศ. 2010 และช่วง ค.ศ. 2014-2017 ซึ่งการฟอกขาวใหญ่แต่ละครั้ง เกิดขึ้นในช่วงที่โลกต้องเผชิญกับ เอลนีโญ (El Niño) นักวิทยาศาสตร์จึงคาดการณ์กันว่า ความร้อน มีความสัมพันธ์ต่อเหตุการณ์นี้ สำนักข่าว CNN รายงานว่า องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ หรือ โนอา (NOAA) และโครงการริเริ่มแนวปะการังนานาชาติ (ICRI) ได้แถลงร่วมกันว่า ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา พื้นที่แนวปะการังมากกว่า 54% ใน 53 ประเทศ/ดินแดนทั่วโลก ต้องเผชิญกับการฟอกขาว หนึ่งในตัวอย่างที่สร้างความกังวลให้แก่นักวิทยาศาสตร์ คือ 'เกรตแบร์ริเออร์รีฟ' (Great Barrier Reef) แนวปะการังที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งมีความยาวกว่า 2,300 กิโลเมตร ตามแนวชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ตลอดความยาวนั้น ประกอบไปด้วยปะการังน้อยใหญ่ราว 3,000 แห่ง

เดือน เม.ย.2567 ที่ผ่านมา อุณหภูมิในประเทศไทย สูงขึ้นมากกว่า 40 องศาเซลเซียส ในหลายพื้นที่ นอกจากส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในภาพรวมแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่า สัตว์น้ำ และท้องทะเล โดยเฉพาะปะการัง ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) และหน่วยงานความริเริ่มด้านแนวปะการังระหว่างประเทศ (ICRI) ประกาศภาวะ “ปะการังฟอกขาว” ครั้งใหญ่ ในระดับโลก ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 15 เม.ย.2567 ที่ผ่านมา ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศของโลกและปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และส่งผลให้แนวปะการังทั่วโลกได้อย่างน้อย 54 ประเทศ และดินแดนเผชิญกับภาวะปะการังฟอกขาว ตั้งแต่เดือน ก.พ.2023 ที่ผ่านมา ซึ่งภาวะ “ปะการังฟอกขาว” จะเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิของมหาสมุทรอุ่นขึ้น จนเกินจุดที่ปะการังจะทนไหว ซึ่งแน่นอนว่า ก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศโลกเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้น้ำในมหาสมุทรอุ่นขึ้น และทำให้ “ปะการังฟอกขาว” เนื่องจากความร้อนในน้ำทำให้ปะการังขับเอาสาหร่ายที่มีสีสันสดใสซึ่งอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการังออกไปจากตัวเอง

People Also Search

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาเป็นเวลาอันยาวนาน ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น และเกิดสภาพอากาศแปรปรวน (climate Change) จากข้อมูลปี 2023 ระบุว่า โลกมีอุณหภูมิร้อนกว่ายุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมประมาณ 1.48

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาเป็นเวลาอันยาวนาน ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น และเกิดสภาพอากาศแปรปรวน (climate change) จากข้อมูลปี 2023 ระบุว่า โลกมีอุณหภูมิร้อนกว่ายุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมประมาณ 1.48 องศาเซลเซียส ขณะที่อุณหภูมิน้ำทะเลสูงสุดเช่นกัน เมื่อน้ำร้อนก็ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ปะการัง ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้เกิดปะการังฟอกขาว องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and A...

แนวปะการังถูกขนานนามว่าเป็น "ป่าฝนแห่งท้องทะเล" เพราะแม้จะครอบคลุมพื้นที่เพียง 1% ของพื้นมหาสมุทร แต่กลับเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตทางทะเลกว่า 1 ใน 3 ของโลก

แนวปะการังถูกขนานนามว่าเป็น "ป่าฝนแห่งท้องทะเล" เพราะแม้จะครอบคลุมพื้นที่เพียง 1% ของพื้นมหาสมุทร แต่กลับเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตทางทะเลกว่า 1 ใน 3 ของโลก และสนับสนุนชีวิตผู้คนมากกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก แต่ตอนนี้ ‘บ้าน’ เหล่านั้นกำลังกลายเป็น 'สุสานใต้น้ำ' ตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 เป็นต้นมา โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ เมื่อแนวปะการังมากกว่า 84% ครอบคลุมอย่างน้อย 83 ประเทศและดินแดนทั่ว...

สำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติเปิดเผยว่า มีการฟอกขาวของแนวปะการังครั้งใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 อ้างอิงจากข้อมูลดาวเทียมที่ระบุว่า มีพื้นที่แนวปะการังกว่า 77% ทั่วโลก ตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย

สำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติเปิดเผยว่า มีการฟอกขาวของแนวปะการังครั้งใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 อ้างอิงจากข้อมูลดาวเทียมที่ระบุว่า มีพื้นที่แนวปะการังกว่า 77% ทั่วโลก ตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจนเกิดการฟอกขาว ซึ่งถือเป็นการฟอกขาวที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังใน 74 ประเท...

ปะการัง 84% ทั่วโลกกำลังเผชิญ “วิกฤตฟอกขาว” ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และเราทุกคนอาจมีส่วนร่วมในหายนะครั้งนี้โดยไม่รู้ตัว ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โลกต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปีที่ผ่านมาก็ได้รับการบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ปรากฏการณ์โลกร้อนขณะนี้ไม่เพียงทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนระอุ

ปะการัง 84% ทั่วโลกกำลังเผชิญ “วิกฤตฟอกขาว” ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และเราทุกคนอาจมีส่วนร่วมในหายนะครั้งนี้โดยไม่รู้ตัว ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โลกต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปีที่ผ่านมาก็ได้รับการบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ปรากฏการณ์โลกร้อนขณะนี้ไม่เพียงทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนระอุ แต่ยังส่งผลทำลายล้างสิ่งมีชีวิตใต้น้ำโดยเฉพาะ “แนวปะการัง” ซึ่ง...

ปะการังฟอกขาวเป็นปรากฏการณ์ที่เนื้อเยื่อปะการังเกิดการสูญเสียสาหร่ายเซลล์เดียวที่ชื่อว่า ซูแซนเทลลี่ (zooxanthellae) ซึ่งสาหร่ายชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์แสง ผลิตพลังงาน และสร้างสีสันที่สวยงามสดใสให้กับปะการัง ปะการังและสาหร่ายซูแซนเทลลี่พึ่งพาอาศัยและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยปะการังจะเป็นที่อยู่อาศัยแก่สาหร่ายชนิดนี้ ส่วนสาหร่ายซูแซนเทลลี่จะนำของเสีย เช่น

ปะการังฟอกขาวเป็นปรากฏการณ์ที่เนื้อเยื่อปะการังเกิดการสูญเสียสาหร่ายเซลล์เดียวที่ชื่อว่า ซูแซนเทลลี่ (zooxanthellae) ซึ่งสาหร่ายชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์แสง ผลิตพลังงาน และสร้างสีสันที่สวยงามสดใสให้กับปะการัง ปะการังและสาหร่ายซูแซนเทลลี่พึ่งพาอาศัยและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยปะการังจะเป็นที่อยู่อาศัยแก่สาหร่ายชนิดนี้ ส่วนสาหร่ายซูแซนเทลลี่จะนำของเสีย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ไนเตรท ฟอสเฟต ออ...