วิกฤตคลื่นความร้อนทางทะเล นักวิทย์ชี้ สิ่งมีชีวิตเสี่ยงสูญพันธุ์
มหาสมุทรเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างแยกจากกันไม่ได้ โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสนับสนุนชีวิตบนบกอีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งในอดีตนั้นคลื่นความร้อนในทะเลไม่เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์จากสมาคมชีววิทยาทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ทั่วโลกได้ชี้ว่า ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน “ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว “และเมื่อคลื่นความร้อนใต้ทะเลยังคงเพิ่มขึ้น เราก็มีแนวโน้มที่จะเห็นการสูญเสียสายพันธุ์และระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้นทั่วโลก” ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate Change ทีมวิจัยได้เปิดเผยว่าในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 และ 2024 ที่ผ่านมานั้นมีวันที่เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 240% เมื่อเทืยบกับสถิติเดิม การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ชีวิตต่าง ๆ ต้องดิ้นรนมากขึ้นทั้งในแนวปะการัง การประมง และชุมชนชายฝั่ง ในยุโรปนั้นคลื่นความร้อนในทะเลทำให้อุณหภูมิพื้นดินในหมู่เกาะอังกฤษสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทำให้ประชากรปลาได้รับผลกระทบอย่างหนัก
อุตุนิยมวิทยาเครือข่าย » อุตุนิยมวิทยา » การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน แต่ความจริงก็คือสถิติความร้อนในทะเลทั้งหมดกำลังถูกทำลายลง พื้นผิวมหาสมุทรเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ และผลกระทบสามารถรู้สึกได้ในระดับโลก คลื่นความร้อนทางทะเลไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเท่านั้น บ่อยขึ้นและยาวนานขึ้นแต่ได้กลายเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบอุณหภูมิของน้ำสูงถึง สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4ºC ในสถานที่เช่นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ห่างไกล เช่น ทะเลบาเลียริก หรือชายฝั่งอังกฤษ ตั้งแต่ปลายปี 2024 เป็นต้นไป ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกำลังเผชิญสถานการณ์วิกฤต ของความร้อนที่คงอยู่ใต้ผิวน้ำ ทะเลแห่งนี้ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าว อุณหภูมิกำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึงสองถึงสามเท่าและอัตราปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นเวลาสองทศวรรษ ในพื้นที่ของทะเลอัลโบรันหรือทะเลแบเลียริก ความผิดปกติซ้ำๆ เกิน 4ºC ความแตกต่างเมื่อเทียบกับค่าปกติ ในขณะที่ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น อุณหภูมิจะยังคงสูงกว่า 2 องศาเซลเซียส น้ำทะเลแคนตาเบรียนและมหาสมุทรแอตแลนติกก็ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้เช่นกัน เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 67%โดยเพิ่มขึ้น 0,25ºC ต่อทศวรรษ การวอร์มอัพนี้แสดงถึง สัญญาณเตือนดาวเคราะห์มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจกได้มากกว่า 90% ทำหน้าที่เป็นตัวกันชนความร้อน หากปราศจากหน้าที่นี้ อุณหภูมิบนพื้นดินจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก อุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้นทั่วโลก กำลังคุกคามสิ่งมีชีวิตในทะเลอย่างรุนแรง โดยเฉพาะปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลที่เป็นบ้านของพวกมัน
รายงานใหม่จากทีมวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัยบอสตันของสหรัฐฯ ซึ่งติดตามสถานการณ์ของที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลจำนวนมากในทะเลแดง พบว่าปรากฏการณ์คลื่นความร้อนที่เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลหลายชนิด รวมถึงปลาตัวโปรดของเด็กๆ ทั่วโลกอย่างปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลที่เป็นบ้านของพวกมัน ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ต่างของคุณภาพยนตร์อนิเมชั่นชื่อดังอย่าง "Finding Nemo" หรือในชื่อไทยคือ "นีโม...ปลาเล็ก หัวใจโต๊...โต" ที่เป็นแหล่งข้อมูลให้กับเด็กๆ ทั่วโลก ได้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเล ที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อเอาตัวรอดในโลกใต้ทะเล แต่ตอนนี้ดอกไม้ทะเลกำลังเผชิญปัญหาเดียวกับปะการัง คือการที่พวกมันจะขับสาหร่ายออกจากเนื้อเยื่อในช่วงที่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติ ทำให้เกิด 'การฟอกสี' ซึ่งนักวิจัยพบว่าการฟอกสีเป็นเวลานานไม่เพียงแต่นำไปสู่การตายของดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้ระบบการพึ่งพาอาศัยกันทั้งหมดพังทลายลงได้อีกด้วย หนึ่งในนักวิจัยกล่าวว่า พวกเขายังคงมีความหวัง ว่าดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนจะรอดจากเหตุการณ์ฟอกขาวเหมือนที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ความร้อนในปัจจุบันนี้มันมาถึงจุดที่เลวร้ายเกินไป ผลักดันให้ดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงเกินกว่าที่พวกมันจะทนได้ คุยเรื่อง โลกร้อน! ทำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น ปะการังฟอกขาว ปลาย้ายถิ่น เต่าทะเลเสี่ยงสูญพันธุ์ และเปิดอีกมุมมองกับ 'วัชรพงษ์ หงส์จำรัสศิลป์' นักชีววิทยา...
มหาสมุทรของโลก นอกจากจะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ ยังมีบทบาทในการดูดซับพลังงานความร้อนที่โลกได้รับส่วนหนึ่งด้วย ดังนั้น เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทะเลหรือมหาสมุทรก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ข้อมูลสมัยใหม่จาก Copernicus Climate Change Service ของสหภาพยุโรป เป็นหน่วยงานที่ให้ข้อมูลและเครื่องมือ ในการติดตามสภาพอากาศที่ล้ำสมัยเพื่อสนับสนุนการปรับลดและปรับเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า สิ้นเดือนกรกฎาคม 2566 อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรโดยเฉลี่ยทั่วโลกสูงถึง 20.96 องศาเซลเซียส (69.73 ฟาเรนไฮต์) ซึ่งสูงกว่าสถิติที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2559 ประมาณ 0.1-0.2 องศาเซลเซียส อาจดูเหมือนน้อย แต่มีมวลน้ำขนาดใหญ่อยู่ในมหาสมุทรทั่วโลก นี่จึงเป็น 'พลังงานจำนวนมหาศาล' ด้าน NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) หน่วยงานด้านการพยากรณ์อากาศของสหรัฐฯ พบคลื่นความร้อนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในเดือนมิถุนายน 2566 ณ มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือนอกชายฝั่งของสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ โดยให้คำจำกัดความไว้ว่า "รุนแรงมาก" เพราะในภูมิภาคนี้ พื้นผิวน้ำทะเลมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยเข้าใกล้ 25 องศาเซลเซียส (77 ฟาเรนไฮต์) ทำให้เขตที่ร้อนที่สุด เปลี่ยนจากบริเวณใกล้กับสหราชอาณาจักร เป็นน่านน้ำนอกชายฝั่งนิวฟันด์แลนด์ ซึ่งในเดือนนี้อุณหภูมิมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ 5 ถึง 10 องศาเซลเซียส ซึ่งน้ำร้อนจัดนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดพายุที่รุนแรงขึ้น ในช่วงปลายฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง และทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล เมื่อเดือนที่แล้วองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ในสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศเตือนว่า โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 และกำลังส่งผลกระทบต่ออย่างน้อย 53 ประเทศทั่วโลก เกรตแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) แนวปะการังนอกชายฝั่งขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งประสบกับฤดูร้อนที่เลวร้ายที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นหนึ่งในแนวปะการังที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากอุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงทำลายสถิติในปีที่ผ่านมา อันมีสาเหตุหลักมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น และถูกเร่งโดยปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรสูงขึ้น
จากการลงพื้นที่สำรวจ CNN พบเห็นการฟอกขาวบนแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ บนแนวปะการัง 5 แห่งที่ทอดยาวไปทางตอนเหนือและตอนใต้ของระบบนิเวศระยะทาง 2,300 กิโลเมตร “สิ่งที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรของเราตอนนี้เหมือนกับการเกิดไฟป่าใต้น้ำ” เคท ควิกลีย์ นักวิจัยที่มูลนิธิมินเดอรู (Minderoo Foundation) ของออสเตรเลีย กล่าว โดยนอกจากแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟแล้ว คลื่นความร้อนใต้ท้องทะเลขนาดมหึมาที่แผ่ขยายไปทั่วโลกยังส่งผลกระทบต่อแนวปะการังที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกแห่งอื่นๆ ซึ่งรวมถึงแนวปะการังในทะเลแดง อินโดนีเซีย และเซเชลส์ด้วย คลื่นความร้อนใต้ทะเลที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 ส่งผลให้ปะการังสองสายพันธุ์สำคัญในแนวปะการังฟลอริดากลายเป็น "การสูญพันธุ์เชิงหน้าที่" จากการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสาร Science เมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งเน้นย้ำถึงอันตรายที่เพิ่มมากขึ้นของภาวะโลกร้อนต่อมหาสมุทรโลก ปะการัง Elkhorn และ Staghorn ที่ได้ชื่อมาจากรูปร่างคล้ายเขากวางและอยู่ในวงศ์ Acropora เป็นสายพันธุ์ "สร้างแนวปะการัง" ที่เติบโตเร็วและครองธรรมในน่านน้ำนอกชายฝั่งฟลอริดาและทะเลแคริบเบียนมายาวนาน สองสายพันธุ์นี้ โดยเฉพาะ Elkhorn สร้างโครงสร้างแบบกิ่งก้านที่ซับซ้อนเหมือนหลังคาป่าทึบ ทำหน้าที่เป็นที่อยู่อาศัยสำคัญของปลาและเป็นเกราะธรรมชาติป้องกันคลื่นแรงและการกัดเซาะชายฝั่ง ทั้งสองสายพันธุ์ลดจำนวนลงมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 จากภัยคุกคามหลายด้าน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคภัยไข้เจ็บ และการประมงที่ไม่ยั่งยืน จนทำให้อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤต
อย่างไรก็ตาม คลื่นความร้อนปี 2023 ที่ยาวนานเกือบสามเดือนและนำมาซึ่งอุณหภูมิทะเลสูงสุดเป็นประวัติการณ์นอกชายฝั่งฟลอริดา กลายเป็นระฆังมรณะสำหรับสองสายพันธุ์นี้ในแนวปะการังฟลอริดา ซึ่งเป็นแนวปะการังกั้นที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก Ross Cunning นักชีววิทยาวิจัยจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Shedd ในชิคาโก และผู้เขียนร่วมหลักของงานวิจัย กล่าวกับ AFP ว่า "จำนวนของสายพันธุ์เหล่านี้ที่เหลืออยู่ในแนวปะการังในปัจจุบันต่ำมากจนไม่สามารถทำหน้าที่ในระบบนิเวศได้อีกต่อไป"
People Also Search
- วิกฤตคลื่นความร้อนทางทะเล นักวิทย์ชี้ สิ่งมีชีวิตเสี่ยงสูญพันธุ์
- วิกฤตคลื่นความร้อนทางทะเล นักวิทย์ฯชี้ "สิ่งมีชีวิตเสี่ยงสูญพันธุ์ ...
- นักวิทยาศาสตร์เตือนสถานการณ์คลื่นความร้อนในทะเลกำลังวิกฤต หลังพบเจอถี่ ...
- Weather: วิกฤตคลื่นความร้อนทางทะเล นักวิทย์ชี้ "สิ่งมีชีวิตเสี่ยงสูญ ...
- คลื่นความร้อนทางทะเล: ภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นต่อมหาสมุทรและสิ่งมีชีวิต ...
- ปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลกำลังหายไปเนื่องจากคลื่นความร้อน
- ทะเลอุ่น! ปะการังฟอกขาว สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ สะเทือนเศรษฐกิจ
- นักวิทย์เตือน มหาสมุทร ร้อนระอุเหมือนเกิด 'ไฟป่าใต้น้ำ' หวั่นแนวปะการัง ...
- ปะการังฟลอริดาใกล้สูญพันธุ์หลังคลื่นความร้อนทำลายร้ายแรง
- คลื่นความร้อนปี 2567 ซัดแปซิฟิกวิกฤต แนวปะการังพัง ธารน้ำแข็งใกล้สูญพันธุ์
มหาสมุทรเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างแยกจากกันไม่ได้ โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสนับสนุนชีวิตบนบกอีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งในอดีตนั้นคลื่นความร้อนในทะเลไม่เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
มหาสมุทรเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างแยกจากกันไม่ได้ โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสนับสนุนชีวิตบนบกอีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งในอดีตนั้นคลื่นความร้อนในทะเลไม่เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์จากสมา...
อุตุนิยมวิทยาเครือข่าย » อุตุนิยมวิทยา » การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน
อุตุนิยมวิทยาเครือข่าย » อุตุนิยมวิทยา » การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน แต่ความจริงก็คือสถิติความร้อนในทะเลทั้งหมดกำลังถ...
รายงานใหม่จากทีมวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัยบอสตันของสหรัฐฯ ซึ่งติดตามสถานการณ์ของที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลจำนวนมากในทะเลแดง พบว่าปรากฏการณ์คลื่นความร้อนที่เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลหลายชนิด รวมถึงปลาตัวโปรดของเด็กๆ ทั่วโลกอย่างปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลที่เป็นบ้านของพวกมัน ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ต่างของคุณภาพยนตร์อนิเมชั่นชื่อดังอย่าง "Finding Nemo"
รายงานใหม่จากทีมวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัยบอสตันของสหรัฐฯ ซึ่งติดตามสถานการณ์ของที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลจำนวนมากในทะเลแดง พบว่าปรากฏการณ์คลื่นความร้อนที่เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลหลายชนิด รวมถึงปลาตัวโปรดของเด็กๆ ทั่วโลกอย่างปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลที่เป็นบ้านของพวกมัน ที่ผ่านมานักวิทยาศ...
มหาสมุทรของโลก นอกจากจะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ ยังมีบทบาทในการดูดซับพลังงานความร้อนที่โลกได้รับส่วนหนึ่งด้วย ดังนั้น เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทะเลหรือมหาสมุทรก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ข้อมูลสมัยใหม่จาก Copernicus Climate Change
มหาสมุทรของโลก นอกจากจะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ ยังมีบทบาทในการดูดซับพลังงานความร้อนที่โลกได้รับส่วนหนึ่งด้วย ดังนั้น เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทะเลหรือมหาสมุทรก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ข้อมูลสมัยใหม่จาก Copernicus Climate Change Service ของสหภาพยุโรป เป็นหน่วยงานที่ให้ข้อมูลและเครื่องมือ ในการติดตามสภาพอากาศที่ล้ำสมัยเพื่อสนับสนุนการปรับลดและปรับเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า สิ้นเดือนกรกฎาคม 2566 อุ...
จากการลงพื้นที่สำรวจ CNN พบเห็นการฟอกขาวบนแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ บนแนวปะการัง 5 แห่งที่ทอดยาวไปทางตอนเหนือและตอนใต้ของระบบนิเวศระยะทาง 2,300 กิโลเมตร “สิ่งที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรของเราตอนนี้เหมือนกับการเกิดไฟป่าใต้น้ำ” เคท
จากการลงพื้นที่สำรวจ CNN พบเห็นการฟอกขาวบนแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ บนแนวปะการัง 5 แห่งที่ทอดยาวไปทางตอนเหนือและตอนใต้ของระบบนิเวศระยะทาง 2,300 กิโลเมตร “สิ่งที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรของเราตอนนี้เหมือนกับการเกิดไฟป่าใต้น้ำ” เคท ควิกลีย์ นักวิจัยที่มูลนิธิมินเดอรู (Minderoo Foundation) ของออสเตรเลีย กล่าว โดยนอกจากแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟแล้ว คลื่นความร้อนใต้ท้องทะเลขนาด...