สตาร์ตอัพไทย ยังอยู่ดีมั้ย บทบาทภาครัฐคือคําตอบ ยังมีอุปสรรคข้างหน้า

Leo Migdal
-
สตาร์ตอัพไทย ยังอยู่ดีมั้ย บทบาทภาครัฐคือคําตอบ ยังมีอุปสรรคข้างหน้า

เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมาพบว่ามีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพของประเทศไทย มูลค่า 364.37 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 11,430 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนในสตาร์ตอัพสูงที่สุดในรอบ 9 ปี ที่มีการเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 2555 โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากภาคเอกชนด้วยกันเอง แต่ส่วนหนึ่งที่ก็มาจากการร่วมลงทุนของภาครัฐด้วยเช่นกัน การร่วมลงทุนในสตาร์ตอัพของภาครัฐ มีหน่วยงานเดียวที่สามารถทำได้ คือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือที่เรียกันติดปากว่า “ดีป้า” เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดยดีป้าเป็น Angle Fund ที่จะคอยสนับสนุนให้ธุรกิจสตาร์ตอัพในระดับ Idea Stage มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท อายุการจัดตั้งธุรกิจไม่เกิน 3 ปี รายละ 1 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 แสนบาท เป็นเงินทุนหมุนเวียนไม่ต้องส่งคืน ส่วน 7 แสนบาท จะเป็นการถือหุ้นโดยคิดเป็นสัดส่วน 25% นอกจากนี้ ดีป้ายังคอยดูเรื่องระดับ Incubator คือการสร้างระบบบ่มเพาะ, การจัดทำระบบ Business Matching จับสตาร์ตอัพไปเจอกับตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการสนับสนุนให้สตาร์ตอัพไปเปิดตลาดที่ต่างประเทศ, Accelerate Program การให้คำปรึกษากับสตาร์ตอัพในแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไอเดีย กลุ่มเติบโต ไปจนถึงกลุ่มเติบโตต่างประเทศ รวมไปถึงการตั้ง Thailand Digital Valley หรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ท่ามกลางกระแสการแข่งขันในเวทีโลกที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีอย่าง AI และ Deep Tech จากต่างประเทศกำลังหลั่งไหลเข้ามา อุตสาหกรรมสตาร์ตอัพไทยกำลังเผชิญบททดสอบครั้งสำคัญ

โจทย์ใหญ่ที่ท้าทายที่สุดในขณะนี้ ไม่ใช่แค่การแข่งขันทางนวัตกรรม แต่คือ “การเข้าถึงแหล่งทุนในระยะเริ่มต้น” (Early Stage) ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เปราะบางและชี้เป็นชี้ตายที่สุดของธุรกิจ เพื่ออุดช่องว่างและแก้ปัญหานี้ 3 หน่วยงานภาครัฐซึ่งเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนด้านเงินทุน จึงได้เข้ามาวางแนวทางและกำหนดกลไกเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยสามารถก้าวข้ามอุปสรรคสำคัญนี้ไปได้ หากเรามาดูภาพรวมในปัจจุบัน จะพบความท้าทายสำคัญที่เรียกว่า “ช่องว่างทางการลงทุน” ในกลุ่มสตาร์ตอัพระยะเริ่มต้น ข้อมูลจาก “ดัชนีนวัตกรรมโลก” (GII) ฉบับล่าสุด ช่วยฉายภาพนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ได้ให้ภาพว่า แม้อันดับโดยรวมของไทยจะลดลงเล็กน้อยจาก 41 มาอยู่ที่ 45 แต่ตัวเลขที่น่ากังวลอย่างแท้จริงกลับซ่อนอยู่ในดัชนีย่อยด้าน “การลงทุน” (Investment) ซึ่งอันดับร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 29 ไปอยู่ที่ 50 ประเทศไทยติดอันดับ 3 เมือง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต ใน 1,000 อันดับแรกของโลกในระบบนิเวศสตาร์ทอัพ (Global Startup Ecosystems) โดยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ นักวิจัยจาก StartupBlink ระบุว่าระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางสตาร์ทอัพที่น่าสนใจในอนาคต อย่างไรก็ตาม ระบบนิเวศในปัจจุบันยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นและต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืน ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้พัฒนาเศรษฐกิจผ่านการปฏิรูปและนวัตกรรมทางสังคม แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับการยอมรับในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก แต่ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ได้กระตุ้นภาครัฐหันมาส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต แม้จะยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่ความพยายามเหล่านี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของระบบนิเวศในประเทศ

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังดึงดูดกลุ่ม “Digital Nomads” หรืออาชีพที่สามารถทำงานได้จากทุกที่ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งได้รับความนิยมในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ด้วยนโยบายใหม่ที่สร้างสรรค์ ภาครัฐสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้และความสามารถของกลุ่มนี้ โดยตั้งเป้าสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่นและต่างชาติ เพื่อพัฒนาโครงการที่เชื่อมโยงและใช้ประโยชน์จากแรงงานไทย ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี พร้อมค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจที่ไม่สูงนัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพ นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นยูนิคอร์น ซึ่งล้วนมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น ความสำเร็จของยูนิคอร์นเหล่านี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสตาร์ทอัพไทยในตลาดโลก แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ พร้อมทั้งดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้าสู่ตลาดไทย เสริมสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพของประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยผ่านนโยบายและความคิดริเริ่มต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นโยบายเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะในภาคเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนและความครอบคลุมในเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย นโยบายไทย 4.0: ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลและนวัตกรรมไทย 4.0 เป็นนโยบายระดับชาติที่เปิดตัวเพื่อส่งเสริมให้ประเทศเปลี่ยนแปลงเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี จุดมุ่งหมายหลักของนโยบายนี้คือการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันโดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยเฉพาะในด้าน AI (ปัญญาประดิษฐ์), Big Data และ Internet of Things (IoT) รัฐบาลไทยได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีและการสนับสนุนด้านการเงินสำหรับสตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นไปที่ภาคเทคโนโลยีเหล่านี้ รวมทั้งการให้ทุนสนับสนุนในการวิจัยและพัฒนา ผ่านไทย 4.0 รัฐบาลยังได้พัฒนาคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อกับบริการที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวก สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาในภาคสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในภาค e-commerce, fintech และบริการดิจิทัลอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วและเสถียร

ศูนย์นวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจเพื่อกระตุ้นให้เกิดสตาร์ทอัพมากขึ้น รัฐบาลไทยได้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ “Digital Ventures” ซึ่งให้การสนับสนุนแก่บริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ เช่น National Innovation Agency (NIA) ที่ให้การฝึกอบรม สิ่งอำนวยความสะดวก และคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ยังมีโครงการต่าง ๆ เช่น “Startup Thailand” ซึ่งเปิดตัวเพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยให้สตาร์ทอัพได้แนะนำผลิตภัณฑ์ของตนสู่ตลาดที่กว้างขึ้น ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ ในเวทีประชุมสุดยอดผู้นำภาคเอกชนของเอเปคประจำปี 2023 ที่จัดขึ้นในเมือง ซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้ประกาศความพร้อมของประเทศไทยที่จะเริ่มขับเคลื่อนภาคธุรกิจเต็มรูปแบบอีกครั้ง ท่ามกลางข่าวดีที่บริษัทไมโครซอฟท์ได้มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับรัฐบาลไทยเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นขุมพลังด้านปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (artificial intelligence หรือ AI) ในระหว่างการประชุมเดียวกันนี้ เพื่อตอบรับกับความสนใจที่ภาคธุรกิจทั่วโลกมีต่อวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีไทยข้างต้น BCG และ BCG X ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านเทคโนโลยีของ BCG ได้ทำการวิเคราะห์สตาร์ตอัปไทยในเชิงลึก รวมถึงได้สัมภาษณ์สตาร์ตอัป นักลงทุน และ ภาครัฐ เพื่อที่จะเข้าใจถึงศักยภาพ อุปสรรค และการขับเคลื่อนของวงการสตาร์ตอัปไทย และเผยแพร่บทวิเคราะห์ในหัวข้อ “Getting Ready for Business: Firming Up Thailand’s Startup Ecosystem” โดยมีใจความสำคัญว่า ในภาพรวมนั้น สตาร์ตอัปไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปอีกมาก แต่เพราะอุปสรรคและความท้าทายบางประการ สตาร์ตอัปไทยที่ประสบความสำเร็จจึงยังมีไม่มากนัก เศรษฐกิจของประเทศไทยมีความแข็งแกร่งและใหญ่เป็นอันดับที่สองของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตามจำนวนสตาร์ตอัปในในประเทศกลับสวนทางกลับเศรษฐกิจ ประเทศไทยมีจำนวนบริษัทสตาร์ตอัปที่เป็นที่เปิดเผยอยู่ราว 180 แห่งเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยหากเทียบกับจำนวนบริษัทสตาร์ตอัปของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม (มีสตาร์ตอัป 340 แห่ง) อินโดนีเซีย (มีสตาร์ตอัป 860 แห่ง) และสิงคโปร์ (มีสตาร์ตอัป 1,780 แห่ง) ด้วยเหตุนี้ การส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ตอัปของทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพและสร้างโอกาสให้กับสตาร์ตอัปในประเทศ

ในบทวิเคราะห์ดังกล่าว BCG X ได้ระบุถึงความท้าทาย 5 ประการหลักในระบบนิเวศสตาร์ตอัปไทย ซึ่งประกอบด้วย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การขาดแคลนที่ปรึกษา การขาดแคลนความช่วยเหลือทางด้านการดำเนินงานพื้นฐาน การขาดแคลนบุคลากร และอุปสรรคในการสร้างความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ เสียงเตือนถึงอนาคตสตาร์ตอัพไทยดังขึ้น หลังการรับรู้ในเวทีภูมิภาคซบเซา ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐระดมสมองในงาน THAI STARTUP DAY 2025 ชี้เป้าปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ พร้อมอัดฉีดกลไกสนับสนุนชุดใหม่ หวังพลิกเกมขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก ประเด็นสำคัญนี้ถูกจุดประกายขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าสตาร์ตอัพไทยดูเหมือนจะ “หายไปจากเรดาร์” ในงานเสวนาระดับภูมิภาค โดยการอภิปรายได้มุ่งเน้นไปที่การที่สตาร์ตอัพไทยได้รับการกล่าวถึงน้อยลง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยี (Tech Hub) อินโดนีเซียที่ถูกมองว่าเป็นตลาดดาวรุ่ง (Next China) หรือฟิลิปปินส์ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตลาดที่เติบโตตามมา (Next Indonesia) ไปยดา หาญชัยสุขสกุล ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากจำนวนสตาร์ตอัพไทยในกลุ่มเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ที่ยังมีสัดส่วนน้อย ประกอบกับช่องว่างในการนำผลงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) สตาร์ตอัพไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน (Application) มากกว่าการมุ่งเน้นเทคโนโลยีแกนหลัก ซึ่งอาจส่งผลต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ไปยดากล่าวว่า สตาร์ตอัพไม่จำเป็นต้องเป็น Deep Tech เสมอไป หากมีคุณค่า (Value) และศักยภาพในการขยายสู่ตลาดโลก (Global Platform) ก็สามารถเป็นจุดแข็งได้ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle-Income Trap) ซึ่งการจะก้าวข้ามได้ต้องอาศัยแบรนด์ที่แข็งแกร่งหรือนวัตกรรมระดับสูง ดร.ชินาวุธกล่าวว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ “ความเสี่ยง” (Risk) ทั้งในมิติของ “ทุนที่พร้อมรับความเสี่ยง” (Risk Capital) ที่ยังไม่เพียงพอ และกรอบความคิดของสังคมและภาครัฐที่ยังคง “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” (Risk Averse) ขาดความเข้าใจในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีพอ ดังเช่นทัศนคติ “เงินรัฐตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” หรือความกังวลต่อการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวว่า การรับรู้ต่อสตาร์ตอัพไทยในระดับภูมิภาคที่ต่ำนั้นเป็นปัญหาที่มีมานาน ประเทศไทยมักถูกมองว่า “ดีแต่ยังไม่ถึงที่สุด” คือมีตลาดที่ใหญ่พอสำหรับการเริ่มต้น แต่เล็กเกินไปสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปริวรรตได้ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ใช้ตลาดทุนนำ มีการใช้ Matching Fund ในสัดส่วน 7 ต่อ 3 เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Venture Capital อย่างจริงจัง ขณะที่อินโดนีเซียมีตลาดภายในขนาดใหญ่ แม้จะมีความสนใจจากต่างชาติ แต่อุปสรรค (Barrier) บางประการยังคงอยู่ ทำให้เกิดสภาวะ “ไก่กับไข่” ที่การขาดการยอมรับในระดับสากล (International Presence)...

People Also Search

เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมาพบว่ามีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพของประเทศไทย มูลค่า 364.37 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 11,430 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนในสตาร์ตอัพสูงที่สุดในรอบ

เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมาพบว่ามีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพของประเทศไทย มูลค่า 364.37 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 11,430 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนในสตาร์ตอัพสูงที่สุดในรอบ 9 ปี ที่มีการเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 2555 โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากภาคเอกชนด้วยกันเอง แต่ส่วนหนึ่งที่ก็มาจากการร่วมลงทุนของภาครัฐด้วยเช่นกัน การร่วมลงทุนในสตาร์ตอัพของภาครัฐ มีหน่วยงานเดียวที่สามารถทำได้ คือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจ...

โจทย์ใหญ่ที่ท้าทายที่สุดในขณะนี้ ไม่ใช่แค่การแข่งขันทางนวัตกรรม แต่คือ “การเข้าถึงแหล่งทุนในระยะเริ่มต้น” (Early Stage) ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เปราะบางและชี้เป็นชี้ตายที่สุดของธุรกิจ เพื่ออุดช่องว่างและแก้ปัญหานี้ 3 หน่วยงานภาครัฐซึ่งเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนด้านเงินทุน

โจทย์ใหญ่ที่ท้าทายที่สุดในขณะนี้ ไม่ใช่แค่การแข่งขันทางนวัตกรรม แต่คือ “การเข้าถึงแหล่งทุนในระยะเริ่มต้น” (Early Stage) ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เปราะบางและชี้เป็นชี้ตายที่สุดของธุรกิจ เพื่ออุดช่องว่างและแก้ปัญหานี้ 3 หน่วยงานภาครัฐซึ่งเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนด้านเงินทุน จึงได้เข้ามาวางแนวทางและกำหนดกลไกเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยสามารถก้าวข้ามอุปสรรคสำคัญนี้ไปได้ หา...

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังดึงดูดกลุ่ม “Digital Nomads” หรืออาชีพที่สามารถทำงานได้จากทุกที่ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งได้รับความนิยมในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ด้วยนโยบายใหม่ที่สร้างสรรค์ ภาครัฐสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้และความสามารถของกลุ่มนี้ โดยตั้งเป้าสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่นและต่างชาติ

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังดึงดูดกลุ่ม “Digital Nomads” หรืออาชีพที่สามารถทำงานได้จากทุกที่ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งได้รับความนิยมในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ด้วยนโยบายใหม่ที่สร้างสรรค์ ภาครัฐสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้และความสามารถของกลุ่มนี้ โดยตั้งเป้าสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่นและต่างชาติ เพื่อพัฒนาโครงการที่เชื่อมโยงและใช้ประโยชน์จากแรงงานไทย ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี พร...

ศูนย์นวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจเพื่อกระตุ้นให้เกิดสตาร์ทอัพมากขึ้น รัฐบาลไทยได้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ “Digital Ventures” ซึ่งให้การสนับสนุนแก่บริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ เช่น National

ศูนย์นวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจเพื่อกระตุ้นให้เกิดสตาร์ทอัพมากขึ้น รัฐบาลไทยได้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ “Digital Ventures” ซึ่งให้การสนับสนุนแก่บริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ เช่น National Innovation Agency (NIA) ที่ให้การฝึกอบรม สิ่งอำนวยความสะดวก และคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ยังมีโ...

ในบทวิเคราะห์ดังกล่าว BCG X ได้ระบุถึงความท้าทาย 5 ประการหลักในระบบนิเวศสตาร์ตอัปไทย ซึ่งประกอบด้วย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การขาดแคลนที่ปรึกษา การขาดแคลนความช่วยเหลือทางด้านการดำเนินงานพื้นฐาน

ในบทวิเคราะห์ดังกล่าว BCG X ได้ระบุถึงความท้าทาย 5 ประการหลักในระบบนิเวศสตาร์ตอัปไทย ซึ่งประกอบด้วย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การขาดแคลนที่ปรึกษา การขาดแคลนความช่วยเหลือทางด้านการดำเนินงานพื้นฐาน การขาดแคลนบุคลากร และอุปสรรคในการสร้างความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ เสียงเตือนถึงอนาคตสตาร์ตอัพไทยดังขึ้น หลังการรับรู้ในเวทีภูมิภาคซบเซา ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐระดมสมองในงาน THAI STARTUP DAY 2025 ชี้เป้าปรับยุทธศา...