สูบน้ํา สูบน้ํามัน มาใช้กันมากๆ ทําให้โลกเอียง ส่งผลต่อ สภาพอากาศ และร

Leo Migdal
-
สูบน้ํา สูบน้ํามัน มาใช้กันมากๆ ทําให้โลกเอียง ส่งผลต่อ สภาพอากาศ และร

ผลการวิจัยที่นำเสนอใน Nature โดยอ้างอิงจากข้อมูลดาวเทียมของ NASA พบว่าปริมาณน้ำใต้ดินจำนวนมากที่มนุษย์สูบขึ้นมา ส่งผลทำให้เกิดการกระจายมวลของโลก ทำให้ดาวเคราะห์ที่เราอยู่นี้ เอียงไปทางตะวันออกเล็กน้อยความเอียงของโลกเปลี่ยนไป 80 เซนติเมตร ระหว่างปี 1993 ถึง 2010 เป็นผลมาจากการสูบน้ำและน้ำมันขึ้นมาใช้จำนวนมากการนำน้ำบาดาลมาใช้ เป็นทรัพยากรน้ำที่ไม่ยั่งยืน และส่งผลเสียในระยะยาว ต้องหาแหล่งน้ำอื่นมาทดแทน เทคโนโลยีเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี และกำลังมีการพัฒนาอย่างจริงจังนอกจากน้ำกินน้ำใช้แล้ว ปัญหาใหญ่อีกส่วนมาจากการขุดเจาะน้ำมันจากใต้ดินมาใช้เป็นพลังงาน สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รถอีวีที่กำลังจะมาทดแทนรถใช้น้ำมัน จะช่วยลดปัญหาได้บางส่วนโลกที่เอียงมากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ รูปแบบภูมิอากาศ และระดับน้ำทะเลมีโอกาสที่จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น พายุเฮิริเคน น้ำท่วม ภัยแล้ง ฤดูกาลการเพาะปลูกเปลี่ยนไป อุณภูมิที่ร้อนขึ้นอาจทำให้การแพร่ระบาดของโรค... https://www.nature.com/articles/d41586-023-01993-z ผลการวิจัยที่นำเสนอใน Nature โดยอ้างอิงจากข้อมูลดาวเทียมของ NASA พบว่าปริมาณน้ำใต้ดินจำนวนมากที่มนุษย์สูบขึ้นมา ส่งผลทำให้เกิดการกระจายมวลของโลก ทำให้ดาวเคราะห์ที่เราอยู่นี้ เอียงไปทางตะวันออกเล็กน้อย ความเอียงของโลกเปลี่ยนไป 80 เซนติเมตร ระหว่างปี 1993 ถึง 2010 เป็นผลมาจากการสูบน้ำและน้ำมันขึ้นมาใช้จำนวนมาก การนำน้ำบาดาลมาใช้ เป็นทรัพยากรน้ำที่ไม่ยั่งยืน และส่งผลเสียในระยะยาว ต้องหาแหล่งน้ำอื่นมาทดแทน เทคโนโลยีเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี และกำลังมีการพัฒนาอย่างจริงจัง นอกจากน้ำกินน้ำใช้แล้ว ปัญหาใหญ่อีกส่วนมาจากการขุดเจาะน้ำมันจากใต้ดินมาใช้เป็นพลังงาน สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รถอีวีที่กำลังจะมาทดแทนรถใช้น้ำมัน จะช่วยลดปัญหาได้บางส่วน

โลกที่เอียงมากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ รูปแบบภูมิอากาศ และระดับน้ำทะเล งานวิจัยทางธรณีฟิสิกส์ชิ้นใหม่ค้นพบว่า การสูบน้ำใต้ดินปริมาณมหาศาลขึ้นมาใช้ ส่งผลให้แกนเอียงและการหมุนของโลกเปลี่ยนไป ทั้งยังส่งผลทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วย ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในเกาหลีใต้ พบว่า การกระจายตัวของมวลของน้ำบนโลก เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของแกนเอียงของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า แกนเอียงของโลกขยับไปจากตำแหน่งเดิมราว 31.5 นิ้วภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี ขณะที่ระดับของน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 0.24 นิ้ว การศึกษานี้ ทำการวิจัยข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 1993 ที่มีการนำน้ำใต้ดินปริมาณ 2,150 กิกะตันขึ้นมาใช้เพื่อการเกษตรกรรมและการอุปโภคบริโภคของมนุษย์ การศึกษาดังกล่าวเผยแพร่ในจดหมายข่าวการวิจัยทางด้านธรณีฟิสิกส์ โดยระบุว่า การที่ตำแหน่งแกนเอียงของโลกเปลี่ยนแปลงไป และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เป็นผลโดยตรงมาจากการสูบน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ “การศึกษาของเราพบว่า การเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดินเป็นสาเหตุที่แท้จริง ที่ส่งผลกระทบใหญ่ที่สุดต่อการเคลื่อนตัวของแกนหมุนของโลก” ซอ กีวอน หัวหน้าทีมวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล กล่าว

‘น้ำ’ ถือเป็นทรัพยากรที่จำเป็นที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก โดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราที่ต้องใช้น้ำเพื่อการบริโภค การปศุสัตว์ และการเกษตรกรรม แต่การศึกษาล่าสุดพบว่า การสูบน้ำจากบาดาลของมนุษย์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกเอียงมากขึ้น เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา กี-วอน ซอ (Ki-Weon Seo) หัวหน้าทีมวิจัยและ ศาสตราจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า “ขั้วการหมุนของโลกเปลี่ยนไปมากจริงๆ ..ซึ่งการศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดินส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนตัวของแกนหมุนของโลก” อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นได้จากบนพื้นผิวโลก เพราะการเอียงของโลกที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการสูบน้ำจากใต้ดินอย่างต่อเนื่องจะทำให้แกนหมุนของโลก เอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 1.7 นิ้ว (4.3 เซนติเมตร) ต่อปี “ถึงเราจะไม่รู้สึกถึงการหมุนของโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศของโลกเป็นอย่างมาก” สุเรนทรา อธิการี (Surendra Adhikari) นักวิทยาศาสตร์การวิจัยฯ จาก NASA กล่าว เขาระบุต่อว่า ส่วนที่มีปัญหาภายในของโลกก็คือ ชั้นหินที่อยู่นอกสุดของชั้นโลก เพราะมันมีน้ำจำนวนมหาศาลประกอบอยู่ด้วย ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำหินที่เรียกว่า ‘ชั้นหินอุ้มน้ำ (Aquifer)’ ซึ่งคาดว่ามีปริมาณน้ำที่มากกว่าแม่น้ำและทะเลสาบบนพื้นผิวโลกรวมกันถึง 1,000 เท่า การศึกษาที่ก้าวล้ำซึ่งตีพิมพ์ใน Geophysical Research Letters ได้เปิดเผยว่ากิจกรรมการสูบน้ำบาดาลของมนุษย์ทำให้โลกเอียงไป 31.5 นิ้วระหว่างปี 1993 ถึง 2010 การค้นพบนี้เน้นย้ำถึงผลที่ตามมาที่ไม่คาดคิดจากรูปแบบการใช้น้ำของเรา และเพิ่มมิติใหม่ในการทำความเข้าใจผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

งานวิจัยที่นำโดยนักธรณีฟิสิกส์ Ki-Weon Seo ที่ Seoul National University พบว่าการสูบน้ำบาดาล 2,150 กิกะตันทำให้ขั้วโลกหมุนเปลี่ยนตำแหน่งมากกว่าปัจจัยอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ การกระจายน้ำใหม่ในปริมาณมหาศาลจากแหล่งใต้ดินสู่มหาสมุดรนี้แสดงถึงผลกระทบที่สำคัญของมนุษย์ต่อกลไกของดาวเคราะห์ ชุมชนวิทยาศาสตร์มีการอภิปรายอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับวิธีการแสดงการวัดการเอียงนี้อย่างเหมาะสม แม้ว่าตัวเลขหลักของ 31.5 นิ้วอาจฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่านี่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงมุมที่เล็กมากเมื่อพิจารณาเทียบกับขนาดมหาศาลของโลก การแปลงระยะทางนี้เป็นการวัดเชิงมุมให้ผลประมาณ 0.0000072 องศา หรือประมาณ 26 มิลลิอาร์กวินาที สมาชิกในชุมชนบางคนได้วิพากษ์วิจารณ์การใช้นิ้วในการอธิบายการเปลี่ยนแปลงการหมุน โดยโต้แย้งว่าหน่วยเชิงมุมที่เหมาะสมจะถูกต้องทางวิทยาศาสตร์มากกว่า อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ ปกป้องการวัดระยะทางว่าเข้าใจได้ง่ายกว่าสำหรับผู้ชมทั่วไป ช่วยให้ผู้คนเข้าใจว่ากิจกรรมของมนุษย์ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่วัดได้กับดาวเคราะห์ของเรา หมายเหตุ: มิลลิอาร์กวินาทีเป็นหน่วยการวัดเชิงมุมที่เล็กมาก เท่ากับหนึ่งในพันของอาร์กวินาที ‘น้ำ’ ถือเป็นทรัพยากรที่จำเป็นที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก โดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราที่ต้องใช้น้ำเพื่อการบริโภค การปศุสัตว์ และการเกษตรกรรม แต่การศึกษาล่าสุดพบว่า การสูบน้ำจากบาดาลของมนุษย์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกเอียงมากขึ้น เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา กี-วอน ซอ (Ki-Weon Seo) หัวหน้าทีมวิจัยและ ศาสตราจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า “ขั้วการหมุนของโลกเปลี่ยนไปมากจริงๆ ..ซึ่งการศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดินส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนตัวของแกนหมุนของโลก”

อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นได้จากบนพื้นผิวโลก เพราะการเอียงของโลกที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการสูบน้ำจากใต้ดินอย่างต่อเนื่องจะทำให้แกนหมุนของโลก เอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 1.7 นิ้ว (4.3 เซนติเมตร) ต่อปี “ถึงเราจะไม่รู้สึกถึงการหมุนของโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศของโลกเป็นอย่างมาก” สุเรนทรา อธิการี (Surendra Adhikari) นักวิทยาศาสตร์การวิจัยฯ จาก NASA กล่าว เขาระบุต่อว่า ส่วนที่มีปัญหาภายในของโลกก็คือ ชั้นหินที่อยู่นอกสุดของชั้นโลก เพราะมันมีน้ำจำนวนมหาศาลประกอบอยู่ด้วย ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำหินที่เรียกว่า ‘ชั้นหินอุ้มน้ำ (Aquifer)’ ซึ่งคาดว่ามีปริมาณน้ำที่มากกว่าแม่น้ำและทะเลสาบบนพื้นผิวโลกรวมกันถึง 1,000 เท่า ปัญหาการสูบน้ำใต้ดินอาจส่งผลกระทบกับโลกมากกว่าที่คิดเสียแล้วครับ เมื่อล่าสุดนี้สหภาพธรณีฟิสิกส์อเมริกันได้ออกมาเปิดเผยผลวิจัยใหม่ที่บอกว่า ในปัจจุบันมนุษย์ได้สูบน้ำมาใช้จนทำให้โลกเอียงเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 80 เซนติเมตรแล้ว ในงานวิจัยนี้นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าในช่วงปี 1993-2010 มนุษย์ได้สูบน้ำใต้ดินมาใช้กว่า 2 ล้านล้านตัน (ซึ่งหากเอามาเทลงทะเลระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นราวๆ 6 มิลลิเมตร)

ซึ่งน้ำหนักที่หายไปของน้ำพวกนี้ก็มากพอที่จะทำให้ขั้วการหมุนโลกเคลื่อนไปด้วยความเร็วเฉลี่ยถึงราวๆ 4.36 เซนติเมตรต่อปี จนรวมๆ โลกก็เอียงมากขึ้นถึง 78.5 เซนติเมตรแล้ว นับว่าเป็นโชคดีมากที่โดยปกติแล้วแก่นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมาหลายเมตรในหนึ่งมี ดังนั้นนักวิจัยจึงคาดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้คงไม่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ข้อมูลทางธรณีวิทยาระหว่างปี 1993-2010 บ่งชี้ว่า ทั่วโลกมีการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ในปริมาณมหาศาล จนส่งผลกระทบต่อลักษณะการกระจายตัวของแหล่งน้ำใต้ดิน ซึ่งทำให้แกนหมุนของโลกเสียสมดุลและเอียงไปทางทิศตะวันออกมากขึ้น ส่วนตำแหน่งของขั้วโลกทั้งเหนือและใต้ก็เคลื่อนที่ไปจากเดิมถึง 80 เซนติเมตร ดร.กี วอน ซอ นักธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซลของเกาหลีใต้และคณะ ได้ตีพิมพ์รายงานว่าด้วยผลการศึกษาข้างต้นลงในวารสาร Geophysical Research Letters ฉบับล่าสุด โดยชี้ว่าในบรรดาเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว การสูบน้ำบาดาลถือเป็นสาเหตุที่ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดต่อความเปลี่ยนแปลงของแกนหมุนโลก เมื่อปี 2016 เคยมีการค้นพบมาแล้วว่า รูปแบบการกระจายตัวของแหล่งน้ำใต้ดินที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งการละลายของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งเนื่องจากภาวะโลกร้อน สามารถส่งผลให้การกระจายตัวของมวลรอบแกนหมุนโลกเสียสมดุล จนแกนหมุนดังกล่าวต้องปรับแนวการวางตัวใหม่เพื่อชดเชยภาวะเสียสมดุลนั้น อย่างไรก็ตาม การศึกษาของ ดร.กี วอน ซอ จัดเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นผลกระทบทางธรณีวิทยา อันเนื่องมาจากการสูบน้ำบาดาลเกินขนาดอย่างชัดเจน โดยประมาณการว่าระหว่างปี 1993-2010 ทั่วโลกสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ราว 2,150 กิกะตัน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 6 มิลลิเมตรด้วย

ทีมผู้วิจัยสามารถประมาณการดังกล่าวได้ หลังสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์โดยใช้ข้อมูลการเคลื่อนตัวของขั้วโลกทั้งสองตำแหน่ง และข้อมูลการกระจายตัวของแหล่งน้ำที่มาจากการละลายตัวของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็ง งานวิจัยใหม่พบ “แกนโลกเกิดความเปลี่ยนแปลง” เพราะมนุษย์ “สูบน้ำบาดาล” มากเกินไปตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่า โลกของเราไม่ได้ตั้งตรงเป๊ะ ๆ แต่ทำมุมเอียงประมาณ 23.5 องศา และที่ผ่านมาก็ได้มีการตั้งสมมติฐานมาโดยตลอดว่า พฤติกรรมหลายอย่างของมนุษย์บนโลก กำลังทำให้แกนโลกเกิดความเปลี่ยนแปลง ล่าสุดผลการวิจัยใหม่เปิดเผยว่า “การสูบน้ำบาดาล” จากแหล่งสำรองใต้ผิวดินตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อแกนโลก (Axis) โดยทำให้แกนโลกเอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 4.3 เซนติเมตรต่อปี น้ำบาดาลถือเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคที่สำคัญสำหรับผู้คนและปศุสัตว์ในฟาร์ม และช่วยในการชลประทานพืชผลเมื่อฝนขาดแคลน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นใหม่แสดงให้เห็นว่า การดึงน้ำใต้ดินมาใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายทศวรรษได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อโลก นักวิจัยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถสังเกตได้แม้กระทั่งจากบนพื้นผิวโลก เนื่องจากมีส่วนทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น

People Also Search

ผลการวิจัยที่นำเสนอใน Nature โดยอ้างอิงจากข้อมูลดาวเทียมของ NASA พบว่าปริมาณน้ำใต้ดินจำนวนมากที่มนุษย์สูบขึ้นมา ส่งผลทำให้เกิดการกระจายมวลของโลก ทำให้ดาวเคราะห์ที่เราอยู่นี้ เอียงไปทางตะวันออกเล็กน้อยความเอียงของโลกเปลี่ยนไป 80 เซนติเมตร

ผลการวิจัยที่นำเสนอใน Nature โดยอ้างอิงจากข้อมูลดาวเทียมของ NASA พบว่าปริมาณน้ำใต้ดินจำนวนมากที่มนุษย์สูบขึ้นมา ส่งผลทำให้เกิดการกระจายมวลของโลก ทำให้ดาวเคราะห์ที่เราอยู่นี้ เอียงไปทางตะวันออกเล็กน้อยความเอียงของโลกเปลี่ยนไป 80 เซนติเมตร ระหว่างปี 1993 ถึง 2010 เป็นผลมาจากการสูบน้ำและน้ำมันขึ้นมาใช้จำนวนมากการนำน้ำบาดาลมาใช้ เป็นทรัพยากรน้ำที่ไม่ยั่งยืน และส่งผลเสียในระยะยาว ต้องหาแหล่งน้ำอื่นมาทด...

โลกที่เอียงมากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ รูปแบบภูมิอากาศ และระดับน้ำทะเล งานวิจัยทางธรณีฟิสิกส์ชิ้นใหม่ค้นพบว่า การสูบน้ำใต้ดินปริมาณมหาศาลขึ้นมาใช้ ส่งผลให้แกนเอียงและการหมุนของโลกเปลี่ยนไป ทั้งยังส่งผลทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วย ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในเกาหลีใต้

โลกที่เอียงมากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ รูปแบบภูมิอากาศ และระดับน้ำทะเล งานวิจัยทางธรณีฟิสิกส์ชิ้นใหม่ค้นพบว่า การสูบน้ำใต้ดินปริมาณมหาศาลขึ้นมาใช้ ส่งผลให้แกนเอียงและการหมุนของโลกเปลี่ยนไป ทั้งยังส่งผลทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วย ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในเกาหลีใต้ พบว่า การกระจายตัวของมวลของน้ำบนโลก เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนตำแหน่งของแกนเอียงของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว...

‘น้ำ’ ถือเป็นทรัพยากรที่จำเป็นที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก โดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราที่ต้องใช้น้ำเพื่อการบริโภค การปศุสัตว์ และการเกษตรกรรม แต่การศึกษาล่าสุดพบว่า การสูบน้ำจากบาดาลของมนุษย์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกเอียงมากขึ้น เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน

‘น้ำ’ ถือเป็นทรัพยากรที่จำเป็นที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก โดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราที่ต้องใช้น้ำเพื่อการบริโภค การปศุสัตว์ และการเกษตรกรรม แต่การศึกษาล่าสุดพบว่า การสูบน้ำจากบาดาลของมนุษย์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกเอียงมากขึ้น เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา กี-วอน ซอ (Ki-Weon Seo) หัวหน้าทีมวิจัยและ ศาสตราจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า “ขั้วการหมุ...

งานวิจัยที่นำโดยนักธรณีฟิสิกส์ Ki-Weon Seo ที่ Seoul National University พบว่าการสูบน้ำบาดาล 2,150 กิกะตันทำให้ขั้วโลกหมุนเปลี่ยนตำแหน่งมากกว่าปัจจัยอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ

งานวิจัยที่นำโดยนักธรณีฟิสิกส์ Ki-Weon Seo ที่ Seoul National University พบว่าการสูบน้ำบาดาล 2,150 กิกะตันทำให้ขั้วโลกหมุนเปลี่ยนตำแหน่งมากกว่าปัจจัยอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ การกระจายน้ำใหม่ในปริมาณมหาศาลจากแหล่งใต้ดินสู่มหาสมุดรนี้แสดงถึงผลกระทบที่สำคัญของมนุษย์ต่อกลไกของดาวเคราะห์ ชุมชนวิทยาศาสตร์มีการอภิปรายอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับวิธีการแสดงการวัดการเอียงนี้อย่างเหมาะสม แม้ว่าตัวเ...

อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นได้จากบนพื้นผิวโลก เพราะการเอียงของโลกที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการสูบน้ำจากใต้ดินอย่างต่อเนื่องจะทำให้แกนหมุนของโลก เอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 1.7 นิ้ว (4.3 เซนติเมตร) ต่อปี “ถึงเราจะไม่รู้สึกถึงการหมุนของโลก

อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นได้จากบนพื้นผิวโลก เพราะการเอียงของโลกที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการสูบน้ำจากใต้ดินอย่างต่อเนื่องจะทำให้แกนหมุนของโลก เอียงไปทางทิศตะวันออกในอัตราประมาณ 1.7 นิ้ว (4.3 เซนติเมตร) ต่อปี “ถึงเราจะไม่รู้สึกถึงการหมุนของโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศของโลกเป็นอย่างมาก” สุเรนทรา อธิก...