เหลียวหลังแลหน้า สตาร์ทอัพไทยปี 2563 ตอนที่ 1

Leo Migdal
-
เหลียวหลังแลหน้า สตาร์ทอัพไทยปี 2563 ตอนที่ 1

กลยุทธ์ทางธุรกิจในอนาคตของ 5 บริษัทไทยในปี 2565 และความต้องการที่จะร่วมสร้างผลงานและร่วมงานกับเหล่าสตาร์ทอัพ เศรษฐกิจประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 และผลกระทบดังกล่าวนั้นยาวนานต่อเนื่อง เจ้าของธุรกิจหลายรายจึงมองหาหนทางที่จะฟื้นฟูธุรกิจของตนหลังโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นดิจิทัล (DX) จึงจำเป็นสำหรับการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของเจ้าของธุรกิจชาวไทย เราจึงได้เตรียมประเภทขององค์ความรู้และ digital solutions ที่กว้างยิ่งขึ้น และ กำลังปฏิบัติการบนสื่อ DX ในประเทศไทย ที่เรียกว่า ICHI ภายใต้แนวคิด “Inspire your Business with Digital” หัวข้อในครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “J-Startup” ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มโดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (METI) ของประเทศญี่ปุ่น องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (NEDO) เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่างสตาร์ทอัพญี่ปุ่นและบริษัทท้องถิ่นในต่างประเทศ เราหวังว่าโครงการนี้จะช่วยเปิดทางให้สตาร์ทอัพญี่ปุ่นและเทคโนโลยีของพวกเขาได้รู้จักกับบริษัทไทย รวมถึงช่วยให้ผู้รับชมได้เข้าใจวิสัยทัศน์ของตลาดไทยเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจพวกเขาเป็นอย่างไร เราได้ติดต่อไปยัง 5 บริษัทชั้นนำของไทย ซึ่งล้วนมาจากภาคส่วนที่ต่างกัน และได้เขียนบทความจากแบบสำรวจที่เราได้ทำไปเพื่อเข้าใจกลยุทธ์ทางธุรกิจในอนาคต รวมถึงความต้องการในการร่วมงานกับสตาร์ทอัพผ่าน “นวัตกรรมแบบเปิด” ที่หมายถึง รูปแบบการจัดการธุรกิจสำหรับนวัตกรรมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันกับผู้คนและองค์กรระหว่างผู้เล่นทั้งภายในและภายนอก เสียงเตือนถึงอนาคตสตาร์ตอัพไทยดังขึ้น หลังการรับรู้ในเวทีภูมิภาคซบเซา ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐระดมสมองในงาน THAI STARTUP DAY 2025 ชี้เป้าปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ พร้อมอัดฉีดกลไกสนับสนุนชุดใหม่ หวังพลิกเกมขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก

ประเด็นสำคัญนี้ถูกจุดประกายขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าสตาร์ตอัพไทยดูเหมือนจะ “หายไปจากเรดาร์” ในงานเสวนาระดับภูมิภาค โดยการอภิปรายได้มุ่งเน้นไปที่การที่สตาร์ตอัพไทยได้รับการกล่าวถึงน้อยลง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยี (Tech Hub) อินโดนีเซียที่ถูกมองว่าเป็นตลาดดาวรุ่ง (Next China) หรือฟิลิปปินส์ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตลาดที่เติบโตตามมา (Next Indonesia) ไปยดา หาญชัยสุขสกุล ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากจำนวนสตาร์ตอัพไทยในกลุ่มเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ที่ยังมีสัดส่วนน้อย ประกอบกับช่องว่างในการนำผลงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) สตาร์ตอัพไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน (Application) มากกว่าการมุ่งเน้นเทคโนโลยีแกนหลัก ซึ่งอาจส่งผลต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ไปยดากล่าวว่า สตาร์ตอัพไม่จำเป็นต้องเป็น Deep Tech เสมอไป หากมีคุณค่า (Value) และศักยภาพในการขยายสู่ตลาดโลก (Global Platform) ก็สามารถเป็นจุดแข็งได้ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle-Income Trap) ซึ่งการจะก้าวข้ามได้ต้องอาศัยแบรนด์ที่แข็งแกร่งหรือนวัตกรรมระดับสูง ดร.ชินาวุธกล่าวว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ “ความเสี่ยง” (Risk) ทั้งในมิติของ “ทุนที่พร้อมรับความเสี่ยง” (Risk Capital) ที่ยังไม่เพียงพอ และกรอบความคิดของสังคมและภาครัฐที่ยังคง “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” (Risk Averse) ขาดความเข้าใจในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีพอ ดังเช่นทัศนคติ “เงินรัฐตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” หรือความกังวลต่อการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวว่า การรับรู้ต่อสตาร์ตอัพไทยในระดับภูมิภาคที่ต่ำนั้นเป็นปัญหาที่มีมานาน ประเทศไทยมักถูกมองว่า “ดีแต่ยังไม่ถึงที่สุด” คือมีตลาดที่ใหญ่พอสำหรับการเริ่มต้น แต่เล็กเกินไปสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปริวรรตได้ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ใช้ตลาดทุนนำ มีการใช้ Matching Fund ในสัดส่วน 7 ต่อ 3 เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Venture Capital อย่างจริงจัง ขณะที่อินโดนีเซียมีตลาดภายในขนาดใหญ่ แม้จะมีความสนใจจากต่างชาติ แต่อุปสรรค (Barrier) บางประการยังคงอยู่ ทำให้เกิดสภาวะ “ไก่กับไข่” ที่การขาดการยอมรับในระดับสากล (International Presence)... ประเทศไทยมีความเคลื่อนไหวในธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงปี 2559 จนถึงปี 2567 บางรายประสบความสำเร็จระดับการเกิดยูนิคอร์น การเกิดธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ และส่งเสริมภาพลักษณ์การลงทุนดึงดูดทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าร่วมทำธุรกิจมากขึ้น และธุรกิจสตาร์ทอัพ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ให้การส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพตั้งแต่แรกเริ่ม ย้อนรอยเส้นทางสตาร์ทอัพ จากเมื่อปี 2559 ที่ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยเริ่มก่อตัวขึ้น จากการมีจำนวนสตาร์ทอัพเพียงไม่กี่ราย และมีหน่วยงานให้การสนับสนุนด้านการลงทุนเฉพาะกลุ่ม จำกัดแค่บางอุตสาหกรรมเท่านั้น โดยสตาร์ทอัพเริ่มมีกระแสในช่วงปี 2560 โดยกรุงเทพฯ ถูกจัดให้เป็นเมืองสตาร์ทอัพที่ดีที่สุด ต่อมาปี 2561 มีจำนวนสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1,500 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Fintech และ Lifestyle เป็นหลัก ปี 2562 ธุรกิจ Pomelo ได้รับการลงทุน Series C ด้วยมูลค่า 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจุดประกายและช่วยยืนยันว่าสตาร์ทอัพไทยมีความพร้อมที่จะเติบโตไปได้อีกขั้น

ขณะที่ปี 2563 การระบาดของโควิด – 19 เป็นตัวแปรให้ Tech Startup เติบโตในหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นภาคการขนส่ง เดลิเวอรี่ การแพทย์ อีคอมเมิร์ซ เกษตร ถัดมาปี 2564 ไทยมียูนิคอร์นที่เกิดขึ้นถึง 2 ราย คือ Flash Express และ Ascend Money ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนในตลาดถึง 310.58 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในปี 2565 เริ่มมีการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเชิงลึกมากขึ้น ภาครัฐออกหลักเกณฑ์และกฎหมายอำนวยความสะดวกให้การประกอบธุรกิจของสตาร์ทอัพมีมากขึ้น ภาคการศึกษามีโครงการบ่มเพาะและการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมให้เกิดสตาร์ทอัพหน้าใหม่ รวมถึงกรุงเทพฯ... ประเด็นแรกการเพิ่มจำนวนของ University Holding Company หรือหน่วยธุรกิจที่เกิดขึ้นจากสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคการศึกษาของไทย มีการขานรับในการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อต่อยอดนำผลงานออกไปจัดตั้งบริษัท เช่น มีการเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรม การเร่งสร้างผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทให้ได้จำนวน 1,000 บริษัท และการสร้าง 5 บริษัทผู้ประกอบการไทยที่จะมีขีดความสามารถในการแข่งขันไปถึงระดับโลก นอกจากนี้ยังเห็นการเพิ่มหลักสูตรบ่มเพาะความเป็นผู้ประกอบการขึ้นมาตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย มุ่งเน้นขยายการเติบโตไปสู่เชิงพาณิชย์ รวมถึงยังมีคอร์สพิเศษสำหรับผู้สนใจแสวงหาความรู้ ประเด็นต่อมาคือการเปลี่ยนแปลงสตาร์ทอัพในรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกหรือ “DeepTech” ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 65 บริษัทภายในเวลา 3 ปี และเกิดการรวมกลุ่มเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในการส่งเสริมและเป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศทั้งหมดรวมถึง ความร่วมมือในการจัดผังกลุ่มเครือข่าย (Mapping) ที่ชัดเจน เพื่อเป็นภาพรวมให้นักลงทุนเห็นโอกาสการเข้ามาสนับสนุนอีกด้วย

People Also Search

กลยุทธ์ทางธุรกิจในอนาคตของ 5 บริษัทไทยในปี 2565 และความต้องการที่จะร่วมสร้างผลงานและร่วมงานกับเหล่าสตาร์ทอัพ เศรษฐกิจประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 และผลกระทบดังกล่าวนั้นยาวนานต่อเนื่อง เจ้าของธุรกิจหลายรายจึงมองหาหนทางที่จะฟื้นฟูธุรกิจของตนหลังโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นดิจิทัล

กลยุทธ์ทางธุรกิจในอนาคตของ 5 บริษัทไทยในปี 2565 และความต้องการที่จะร่วมสร้างผลงานและร่วมงานกับเหล่าสตาร์ทอัพ เศรษฐกิจประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 และผลกระทบดังกล่าวนั้นยาวนานต่อเนื่อง เจ้าของธุรกิจหลายรายจึงมองหาหนทางที่จะฟื้นฟูธุรกิจของตนหลังโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นดิจิทัล (DX) จึงจำเป็นสำหรับการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของเจ้าข...

ประเด็นสำคัญนี้ถูกจุดประกายขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าสตาร์ตอัพไทยดูเหมือนจะ “หายไปจากเรดาร์” ในงานเสวนาระดับภูมิภาค โดยการอภิปรายได้มุ่งเน้นไปที่การที่สตาร์ตอัพไทยได้รับการกล่าวถึงน้อยลง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยี (Tech Hub) อินโดนีเซียที่ถูกมองว่าเป็นตลาดดาวรุ่ง (Next China)

ประเด็นสำคัญนี้ถูกจุดประกายขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าสตาร์ตอัพไทยดูเหมือนจะ “หายไปจากเรดาร์” ในงานเสวนาระดับภูมิภาค โดยการอภิปรายได้มุ่งเน้นไปที่การที่สตาร์ตอัพไทยได้รับการกล่าวถึงน้อยลง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยี (Tech Hub) อินโดนีเซียที่ถูกมองว่าเป็นตลาดดาวรุ่ง (Next China) หรือฟิลิปปินส์ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตลาดที่เติบโตตามมา (Next In...

ขณะที่ปี 2563 การระบาดของโควิด – 19 เป็นตัวแปรให้ Tech Startup เติบโตในหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นภาคการขนส่ง

ขณะที่ปี 2563 การระบาดของโควิด – 19 เป็นตัวแปรให้ Tech Startup เติบโตในหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นภาคการขนส่ง เดลิเวอรี่ การแพทย์ อีคอมเมิร์ซ เกษตร ถัดมาปี 2564 ไทยมียูนิคอร์นที่เกิดขึ้นถึง 2 ราย คือ Flash Express และ Ascend Money ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนในตลาดถึง 310.58 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในปี 2565 เริ่มมีการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเชิงลึกมากขึ้น ภาครัฐออกหลักเกณฑ์และกฎหมายอำนวยความสะดวกให้การประกอบธุรกิจของสต...