4 ข้อเรียกร้อง จากกรีนพีซสู่ Cop30 Greenpeace Thailand
ขณะที่ปี 2568 กำลังจะกลายเป็นอีกปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ เหล่ารัฐบาลจากประเทศต่าง ๆ กำลังเตรียมตัวเพื่อมาประชุมในเวที UN Climate Conference หรือ COP30 ณ กรุงเบเลม ประเทศบราซิล ซึ่งการประชุมครั้งนี้จะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญที่ชี้ขาดว่าเหล่าผู้นำโลกจะมุ่งมั่นพอที่จะชะลอไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสหรือไม่ การประชุมครั้งนี้ยังเกิดขึ้นที่ใจกลางแอมะซอน ดังนั้น การประชุม COP ครั้งนี้จึงมีความหมายทั้งในเชิงสัญลักษณ์และในด้านเจตจำนงทางการเมืองอย่างยิ่ง เพราะผืนป่าแอมะซอนไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นป่าฝนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในตัวควบคุมสภาพภูมิอากาศที่สำคัญที่สุดอีกด้วย การปกป้องผืนป่าฝนเขตร้อนมีความสำคัญต่อการชะลอวิกฤตโลกเดือดและยังเป็นบ้านของหลายสิ่งมีชีวิตบนโลก ในการประชุม COP30 ครั้งนี้ กรีนพีซเรียกร้องให้เหล่าผู้นำแต่ละประเทศเปลี่ยนคำมั่นสัญญาเป็นการลงมือปฏิบัติจริง ผ่านวาระด้านป่าไม้และสภาพภูมิอากาศที่มีความทะเยอทะยานมากพอ ซึ่งจะต้องสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนและเป็นประโยชน์ต่อโลกของเรา และนี่คือข้อเรียกร้องของกรีนพีซ ต่อการประชุม COP30 เป็นสิ่งที่เรากำลังลุกขึ้นสู้ ทั้งในเบเลงและทั่วโลก ผืนป่าแอมะซอนและระบบนิเวศแห่งอื่น ๆ กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่อาจทำให้สภาพภูมิอากาศไม่อาจย้อนกลับสู่จุดเดิมได้ กรีนพีซเรียกร้องให้โลกมีแผนปกป้องผืนป่าที่สามารถยุติการทำลายป่าไม้และระบบนิเวศภายในปี 2573 รัฐบาลแต่ละประเทศต้องให้คำมั่นสัญญาว่าการทำลายผืนป่าจะไม่เกิดขึ้นอีก ระบบนิเวศจะต้องไม่ถูกทำลาย และต้องมีแผนการปกป้องพื้นที่ของชนเผ่าพื้นเมืองอย่างเต็มรูปแบบ อุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ การทำเหมือง และการตัดไม้เชิงพาณิชย์ยังคงทำลายป่าในอัตราที่น่าตกใจ บริษัทหลายแห่ง เช่น บริษัทผลิตเนื้อสัตว์ยักษ์ใหญ่ JBS ต้องถูกตรวจสอบ และรับผิดรับชอบต่อการสูญเสียป่าที่เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัทส่วนสถาบันการเงินที่ให้ทุนสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ต้องอยู่ภายใต้มตราการทางกฎหมายที่จำเป็น เพื่อยับยั้งการลงทุนที่ทำลายระบบนิเวศ การปกป้องและฟื้นฟูผืนป่าเป็นหนึ่งในหนทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดและยังเป็นหนทางที่ทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและเป็นเกราะพิทักษ์วิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง อนาคตของโลกขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ถึงเวลาแล้วที่เหล่าผู้นำทั่วโลกจะต้องร่วมมือกันผลักดันให้เกิดสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่เข้มแข็ง และเสียงของคุณมีความหมาย ร่วมลงชื่อสนับสนุนเพื่อให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการ หยุดวิกฤตมลพิษพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง!
ลงชื่อสนับสนุนการสร้าง “ทะเลชุมชน” หรือพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ชุมชนเป็นผู้นำ (Community-led marine protected areas) และปกป้องสิทธิของชุมชนชายฝั่งที่กำลังได้รับผลกระทบจากทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากอุตสาหกรรม และประมงทำลายล้าง ท้องถิ่นภาคเหนือรวมตัว ชวนคิดข้อเสนอนโยบายในงาน People’s Policy Hub อดบ่ไหว แก้ไขสักกำเต๊อะ : คนเหนือชวนคิดนโยบายแก้ฝุ่นพิษ PM2.5 ภายใต้ความถูกและเร็ว ของอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น คือห่วงโซ่ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ผู้บริโภคต้อง ‘รับ’ โดยไม่รู้ตัว2-7 ธันวาคม 2568📍หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร(BACC) เราทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและเป็นธรรมในประเทศไทย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโลก เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ประเทศไทยได้ยื่น ข้อกำหนดและเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDC) ฉบับที่ 3.0 ต่อกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของประเทศไทยที่จะให้คำมั่นสัญญาบนเวที COP30 ที่จะจัดขึ้น ณ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ 10-21 พฤษจิกายนนี้ เพื่อประกาศเจตจำนงของประเทศในการเร่งรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ทั้งด้าน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัว (Adaptation) ในทิศทางระยะยาว ภายใต้ NDC 3.0 ประเทศไทยประกาศยกระดับความทะเยอทะยานครั้งใหญ่ ตั้งเป้าบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050 เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ใน NDC 2.0 และ LT-LEDS (ฉบับปรับปรุง ที่ยื่นใน COP27 ปี 2565) ซึ่งเคยระบุว่า ประเทศไทยจะบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065
กล่าวได้ว่า แผน NDC 3.0 กำลังถูกนำเสนอในฐานะ “ความทะเยอทะยานด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย” โดยมีเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือ 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ภายในปี 2035 จากระดับการปล่อยในปี 2019 ที่อยู่ที่ประมาณ 379.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ซึ่งหมายถึงการลดลงราว 135.2 ล้านตัน CO₂e หรือประมาณร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับระดับการปล่อยสุทธิในปีฐาน 2019 รัฐบาลระบุว่าการยกระดับ NDC ครั้งนี้จะทำให้ประเทศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงร้อยละ 60 โดยมีฐานจาก แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกจากปี 2564–2573 พร้อมพึ่งพา “การสนับสนุนจากต่างประเทศในเทคโนโลยีคาร์บอนต้นทุนสูง” ได้แก่ เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) และการใช้กลไกตลาดคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้มาร่วมด้วย การผลักดันให้เป็นความหวังใหม่ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ทว่าเบื้องหลังเป้าหมายที่ดูรวดเร็วนั้น กลับมีคำถามใหญ่ด้านความเสี่ยงของ “วิกฤตินโยบายทับซ้อน (policycrisis)” เพราะมาตรการที่ใช้เพื่อให้ไปถึงตัวเลขดังกล่าว อาจยิ่งซ้ำเติมปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น ในวันที่คนทั้งโลกเรียกร้องการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม “เพื่อให้หยุดการใช้ฟอสซิล” แต่อุตสาหกรรมฟอสซิลกลับดูเหมือนจะได้รับ “ทางรอด” ใหม่ในชื่อของ กลไกชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset Mechanism) แนวคิดที่ฟังดูเหมือนจะช่วยสิ่งแวดล้อม เพราะใครปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็สามารถ “ชดเชย” ได้ ด้วยการปลูกป่า ซื้อคาร์บอนเครดิต หรือสนับสนุนโครงการสีเขียวต่าง ๆ แต่ในอีกมุมหนึ่ง หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า กลไกนี้กำลังช่วยลดการปล่อยจริง ๆ หรือแค่เปิดช่องให้บริษัทน้ำมันและพลังงานฟอสซิลขนาดใหญ่ยังคงเดินหน้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปได้โดยไม่ต้องเร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดที่เป็นธรรม ขณะนี้การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 30 หรือ COP30 กำลังเกิดขึ้น ในระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่นาน ประเทศไทยได้ประกาศกรอบเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2574–2578 (ค.ศ.
2031–2035) ภายใต้ “แผนปฏิบัติการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” หรือ Nationally Determined Contribution: NDC ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) โดยระบุว่าเป็นแผนลดก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้นขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ และกรมโลกร้อนได้นำกรอบเป้าหมายและแผนดังกล่าวส่งต่อ UNFCCC และจะนำเสนอต่อที่ประชุม COP 30 เป้าหมายของแผน NDC 3.0 คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂eq) หรือคิดเป็นการลดลงร้อยละ 47 จากระดับปีฐาน 2562 (ค.ศ. 2019) ซึ่งกรมโลกร้อนมองว่าเป็นการยกระดับเป้าหมายครั้งสำคัญจาก NDC ฉบับก่อนหน้า และเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับทิศทางการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2050 แม้ตัวเลขเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกจะดูมีความก้าวหน้า แต่ความเป็นจริงแล้วแผนพลังงานของไทยกลับดูสวนทาง และมีแต่ทวีการสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างไม่จำเป็น แล้วเราจะบรรลุเป้าหมายลดโลกร้อนระดับโลกได้อย่างไร? คำถามนี้นำไปสู่การถกเพื่อหาคำตอบในเวทีเสวนา “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” เมื่อศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) รัฐบาลไทยกล่าวว่า การประกาศเป้าหมาย NDC 3.0 ที่ COP30 จะเป็น “ข้อความแห่งความมุ่งมั่น” ของไทยต่อประชาคมโลกว่า ประเทศเราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา อีกทั้งแผน NDC 3.0 นี้ยังมีศักยภาพในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศกว่า 230,000 ล้านบาทผ่านกลไกตลาดคาร์บอน แต่เวทีกำลังสร้างการถกเถียงว่า ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประเทศไทยยังคงมุ่งผลักดันพลังงานฟอสซิล และรัฐบาลกำลังมองข้ามความไม่เป็นธรรมที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชน รศ. ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มเปิดด้วยประเด็นให้รัฐบาล “คิดใหม่ ถ้าไทยจะ Net Zero 2050 จะจัดการอย่างไรกับการใช้พลังงานจากก๊าซฟอสซิล” โดยให้ข้อมูลถึงการใช้พลังงานฟอสซิลโดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซฟอสซิลหรือ LNG ของไทยว่า “ประเทศไทยพึ่งพาก๊าซฟอสซิลในการผลิตพลังงานไฟฟ้ามากถึงร้อยละ 50 บางช่วงร้อยละ 60 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด หลายปีที่ผ่านมาเราพยายามลดการพึ่งพาก๊าซลง เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยลดลงเรื่อย ๆ และเราต้องนำเข้าก๊าซ LNG จากต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราก็ยังคงมุ่งสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซอย่างต่อเนื่อง” ทิศทางของโลกกำลังเลิกใช้พลังงานฟอสซิล เปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การที่ประเทศไทยมุ่งสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซมากขึ้น คือความย้อนแย้งกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับเวทีโลก “พลังงานลมและแสงอาทิตย์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 29 ต่อปี เราต้องพยายามให้มากกว่าที่เราพยายามอยู่ตอนนี้ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก และจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส” รศ.
ดร.ชาลี กล่าว ในแง่ความมั่นคงด้านพลังงาน ประกอบไปด้วยหัวใจหลักคือ การผลิตได้เพียงพอ ความเสถียร และราคาที่เข้าถึงได้ รศ. ดร.ชาลี ให้ความเห็นว่า ประการแรก การผลิตไฟฟ้าของไทยที่พึ่งพาก๊าซฟอสซิลเป็นหลัก และอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศในปัจจุบัน จึงไม่ตอบโจทย์ด้านความมั่นคง ประการที่สอง โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซมีค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงมากกว่าโซลาร์เซลล์ จึงไม่ตอบโจทย์เรื่องต้นทุน และประการที่สำคัญคือ ความไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษ ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 “เรามักโทษ PM2.5 ว่ามาจากการเผาของภาคเกษตรกรรม แต่เรามักลืมโทษโรงไฟฟ้าว่าเป็นผู้ก่อ PM2.5 ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งสามมิตินี้ทำให้ก๊าซธรรมชาติไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในเวลานี้” รศ. ดร.ชาลี กล่าว กรีนพีซดำรงอยู่เป็นพลังเสียงให้กับโลกอันเปราะบางนี้ โลกต้องมีทางออกที่ยั่งยืน เราทุกคนมีส่วนสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยการลงมือทำ กรีนพีซเป็นองค์กรรณรงค์อิสระระดับโลกที่ลงมือทำเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และพฤติกรรม ปกป้องสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมสันติภาพ เราเชื่อในพลังของคนธรรมดาที่จะเป็นพลังมวลชนที่แท้จริงในการปกป้องสิ่งแวดล้อม เราเชื่อว่าถ้าเราร่วมมือกัน เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้แก่สิ่งแวดล้อมได้
สนธิสัญญาพลาสติกโลกฉบับนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลก โดยเฉพาะมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่นับวันมีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เราขอเรียกร้องให้เกิดสนธิสัญญาที่มีความมุ่งมั่นและทะเยอทะยาน เพื่อลดการผลิตและการใช้พลาสติกอย่างเป็นรูปธรรม ไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆของโลกที่มีความเสี่ยงสูงต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ รัฐสภาซึ่งเป็นที่ประชุมระดับชาติของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องเป็นผู้นำประกาศ “ภาวะฉุกเฉินสภาพภูมิอากาศ (climate emergency declaration)” กิจกรรม อาบป่า Supporter Event 2025 : Forest therapy ณ สวนรถไฟ กรุงเทพฯ เมื่องานนี้จัดขึ้นเพื่อ “ขอบคุณ” ผู้สนับสนุนกรีนพีซทุกท่าน ทั้งผู้บริจาค อาสาสมัคร ตลอดจนทีมงานของเรา ร่วมเรียกร้องบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายเร็ว (Fast Moving Consumer Goods) ยกเลิกพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งอาจมีต้นทุนต่ำสำหรับบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายเร็ว (Fast Moving Consumer Goods) แต่ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมของเราต้องแบกรับต้นทุนจริงของมลพิษพลาสติก บริษัทต่างๆ เช่น เนสท์เล่, พร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล, เป๊บซี่โค, ยูนิลีเวอร์, โคคา-โคล่า, มาร์ คราฟท์ ไฮนซ์, มอนเดเลซ, คอลเกต ปาล์มโอลีฟ, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, และดานอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายเร็ว (Fast Moving Consumer Goods) กำลังเพิ่มปริมาณพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง แม้ว่าบริษัททั้งหลายนี้อ้างว่ารู้ข้อมูลเล็กน้อยว่าปลายทางของบรรจุภัณฑ์พลาสติกของตนจบลง ณ ที่ใด ทางแก้ปัญหากลับเป็นเพียง การเน้นไปที่การเพิ่มความสามารถรีไซเคิลเท่านั้น การรีไซเคิลไม่ไช่ทางออกของปัญหา พลาสติกกว่าร้อยละ 90 ที่ถูกผลิตขึ้น ไม่ได้ถูกนำไปรีไซเคิล แต่ถูกนำไปที่หลุมฝังกลบหลุดออกสู่สิ่งแวดล้อม หรือถูกนำไปเผาและและปล่อยมลพิษกลับเข้าสู่สิ่งแวดล้อม
เราไม่อาจกู้วิกฤตมลพิษพลาสติกด้วยเพียงแค่การรีไซเคิล ถึงเวลาแล้วที่บริษัททั้งหลายต้องบอกลาพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวไปพร้อมกัน พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งถูกออกแบบมาให้ใช้เพียงแค่เสี้ยวนาทีและถูกโยนทิ้ง พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว แต่จะคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมนานนับทศวรรษ ก่อมลพิษในทะเลและมหาสมุทร แหล่งน้ำและผืนดิน ดิน และส่งผลกระทบต่อสัตว์และมนุษย์ ที่กรีนพีซ ประเทศไทย เราภาคภูมิใจในอาสาสมัครทุกคน อาสาสมัครเป็นกลุ่มคนสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อโลกที่ปลอดภัย อาสาสมัครกรีนพีซเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่การร่วมเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติเพื่อลดมลพิษพลาสติก และเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้ผลิต ไปจนถึงการรณรงค์เพื่อปกป้องชุมชนชายฝั่งกับเรือรณรงค์สัญลักษณ์ของสันติภาพและสิ่งแวดล้อมอย่าง เรือ Rainbow Warrior ทุกกิจกรรมที่เราร่วมแรงร่วมใจกันทำ ล้วนคือแรงบันดาลใจที่จุดประกายความหวังและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับโลกของเราทุกคน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ เราขอชวนทุกคนย้อนกลับไปดูช่วงเวลาสำคัญของงานอาสาสมัครในปี 2024 ที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราวเหล่านี้จะสามารถส่งต่อพลังแห่งความมุ่งมั่นให้กับทุกคนได้เช่นกัน เมื่อกลางปี 2024 กรีนพีซ ประเทศไทย ได้จัดงาน “Rainbow Warrior Ship Tour 2024: Ocean Justice” โดยมีเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์ เรือธงรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมสัญลักษณ์ของกรีนพีซเดินทางมายังประเทศไทยอีกครั้ง งานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของทะเลไทย ภัยคุกคามจากการประมงที่ไม่ยั่งยืน อุตสาหกรรมชายฝั่งและกลางทะเล รวมถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ในการจัดงานครั้งนี้ อาสาสมัครของกรีนพีซและเยาวชนในพื้นที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาทำหน้าที่เป็น ไกด์นิทรรศการ และ ผู้ช่วยกิจกรรมบนเรือ รวมถึงร่วมจัด เวิร์กช็อปทำเกียวทาคุ และสร้างสรรค์ ผลงานศิลปะจากขยะทะเล กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้งานสำเร็จลุล่วง แต่ยังแสดงให้เห็นถึงพลังและความทุ่มเทของอาสาสมัครในการปกป้องทะเลไทยและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพฯ, 25 กันยายน 2568 – กรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมกับ JustPow (เครือข่ายเพื่อพลังงานที่ยุติธรรมสำหรับทุกคน Just Power For All) และเครือข่ายภาคประชาชนจาก 5 ภูมิภาค ยื่นข้อเรียกร้องต่อ คณะกรรมาธิการการพลังงาน เพื่อให้กระบวนการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่มีตัวแทนภาคประชาชนในคณะกรรมการร่างแผน PDP พร้อมต้องดำเนินไปอย่างโปร่งใส และเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง PDP2024 ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น แตกต่างจากแผน PDP2018 ที่เคยจัดเวทีสาธารณะทั่วทุกภูมิภาค ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่าย ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างพอเพียง ด้วยเหตุนี้ JustPow และเครือข่าย 13 องค์กร จึงได้จัดเวทีสาธารณะ “เสียงจากประชาชน 5 ภูมิภาคต่อร่างแผน PDP2024” เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ก่อนยื่นข้อคิดเห็นต่อกระทรวงพลังงาน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 รัฐบาลได้ประกาศเดินหน้าเตรียมจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ แทนการประกาศใช้ร่างแผน PDP2024 เดิม สันติชัย อาภรณ์ศรี ผู้ประสานงาน JustPow กล่าวว่า “จากการแต่งตั้งคณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ของประเทศกลับไม่มีตัวแทนจากภาคประชาชน ทั้งที่ประชาชนคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง ไม่ว่าจะในฐานะผู้ใช้ไฟฟ้าหรือผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า หากแผน PDP ฉบับใหม่นี้ไม่มีตัวแทนประชาชนร่วมอยู่ด้วยในกระบวนการจัดทำด้วย ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าแผน PDP ฉบับนี้จะสะท้อนเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง หรือเป็นแผนที่เปิดให้เกิดการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างมีความหมาย” กรีนพีซ ประเทศไทยและเครือข่าย JustPow เห็นว่า แผน PDP แม้ไม่ใช่กฎหมายโดยตรง แต่เป็นนโยบายสาธารณะที่ส่งกระทบกับประชาชนทุกคน ทั้งในด้านค่าใช้จ่าย ความมั่นคงพลังงาน และสิ่งแวดล้อม จึงควรจัดทำบนฐานของ ความโปร่งใส การมีส่วนร่วม และสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญมาตรา 77[1]
การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) กำลังจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2025 ณ เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล สำหรับหลายคนแล้ว การประชุม COP อาจฟังดูเหมือนเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยสุนทรพจน์ยืดยาวและการถ่ายรูป ซึ่งบางครั้งก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่ในอีกมุมหนึ่งการประชุม COP ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ นี่คือ 5 เรื่องที่คุณควรรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการประชุม COP30 นี้ จัดขึ้นที่เมืองเบเล็มซึ่งอยู่บริเวณขอบผืนป่าแอมะซอน COP ย่อมาจาก Conference of the Parties หรือในชื่อทางการคือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change: COP) ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศประจำปี ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ข้อตกลงระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1992 (พ.ศ.2535) ปัจจุบันมีประเทศภาคีรวม 198 ประเทศ ทำให้ UNFCCC เป็นหนึ่งในกลไกพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในระบบขององค์การสหประชาชาติ (UN) โดยประเทศต่าง ๆ จะเข้าร่วมการประชุม COP เพื่อร่วมกันเจรจาและกำหนดแนวทางในการจำกัดภาวะโลกร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนชุมชนที่เผชิญกับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ภายในประชุม COP คุณจะพบกับผู้นำประเทศจากทั่วโลก ตัวแทนรัฐบาลเพื่อการเจรจา นักวิทยาศาสตร์ ผู้นำชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ นักกิจกรรมเยาวชน สื่อมวลชน และที่ขาดไม่ได้คือนักล็อบบี้ (Lobbyists)ตัวแทนบริษัทอุตสาหกรรมฟอสซิล แม้การประชุมมีความซับซ้อน ยุ่งเหยิง และบ่อยครั้งก็น่าหงุดหงิด แต่ก็ไม่มีเวทีระดับโลกใดอีกแล้วที่กลุ่มประเทศหมู่เกาะเล็กที่สุดกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ที่สุดของโลกจะมานั่งเจรจากันบนโต๊ะเดียวกันเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันได้เช่นนี้ ให้ลองคิดว่าการประชุม COP เป็นเหมือนงานกลุ่มระดับโลก เช่นเดียวกับงานกลุ่มทั่วไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำงานส่วนของตน มีบางคนที่พยายามขัดขวางงาน แต่สุดท้ายเราก็ยังต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วม เพื่อให้ทั้งกลุ่มผ่านวิชานี้ไปด้วยกัน
People Also Search
- 4 ข้อเรียกร้อง จากกรีนพีซสู่ COP30 - Greenpeace Thailand
- กรีนพีซ ประเทศไทย - Greenpeace Thailand
- NDC 3.0: แผนลดก๊าซเรือน ... - Greenpeace
- แผน Net Zero ของไทย ลดโลก ... - Greenpeace
- กรีนพีซ - Greenpeace Thailand
- กรีนพีซ ประเทศไทย ... - SD Thailand
- ร่วมมือยุติมลพิษพลาสติก
- Greenpeace Thailand
- กรีนพีซ ประเทศไทย JustPow และภาคประชาสังคม เสนอข้อเรียกร้องต่อ กมธ. ...
- จับตาการประชุม COP30: 5 ... - Greenpeace
ขณะที่ปี 2568 กำลังจะกลายเป็นอีกปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ เหล่ารัฐบาลจากประเทศต่าง ๆ กำลังเตรียมตัวเพื่อมาประชุมในเวที UN Climate Conference หรือ
ขณะที่ปี 2568 กำลังจะกลายเป็นอีกปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ เหล่ารัฐบาลจากประเทศต่าง ๆ กำลังเตรียมตัวเพื่อมาประชุมในเวที UN Climate Conference หรือ COP30 ณ กรุงเบเลม ประเทศบราซิล ซึ่งการประชุมครั้งนี้จะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญที่ชี้ขาดว่าเหล่าผู้นำโลกจะมุ่งมั่นพอที่จะชะลอไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสหรือไม่ การประชุมครั้งนี้ยังเกิดขึ้นที่ใจกลางแอมะซอน ดังนั้น การประชุม COP ครั...
ลงชื่อสนับสนุนการสร้าง “ทะเลชุมชน” หรือพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ชุมชนเป็นผู้นำ (Community-led Marine Protected Areas) และปกป้องสิทธิของชุมชนชายฝั่งที่กำลังได้รับผลกระทบจากทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากอุตสาหกรรม และประมงทำลายล้าง
ลงชื่อสนับสนุนการสร้าง “ทะเลชุมชน” หรือพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ชุมชนเป็นผู้นำ (Community-led marine protected areas) และปกป้องสิทธิของชุมชนชายฝั่งที่กำลังได้รับผลกระทบจากทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากอุตสาหกรรม และประมงทำลายล้าง ท้องถิ่นภาคเหนือรวมตัว ชวนคิดข้อเสนอนโยบายในงาน People’s Policy Hub อดบ่ไหว แก้ไขสักกำเต๊อะ : คนเหนือชวนคิดนโยบายแก้ฝุ่นพิษ PM2.5 ภายใต้ความถูกและเร็ว ของอุตสาหกรรมฟาสต์...
กล่าวได้ว่า แผน NDC 3.0 กำลังถูกนำเสนอในฐานะ “ความทะเยอทะยานด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย” โดยมีเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือ 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
กล่าวได้ว่า แผน NDC 3.0 กำลังถูกนำเสนอในฐานะ “ความทะเยอทะยานด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย” โดยมีเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือ 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ภายในปี 2035 จากระดับการปล่อยในปี 2019 ที่อยู่ที่ประมาณ 379.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ซึ่งหมายถึงการลดลงราว 135.2 ล้านตัน CO₂e หรือประมาณร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับระดับการปล่อยสุทธิในปีฐาน 2...
2031–2035) ภายใต้ “แผนปฏิบัติการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” หรือ Nationally Determined Contribution: NDC ฉบับที่ 2
2031–2035) ภายใต้ “แผนปฏิบัติการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” หรือ Nationally Determined Contribution: NDC ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) โดยระบุว่าเป็นแผนลดก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้นขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ และกรมโลกร้อนได้นำกรอบเป้าหมายและแผนดังกล่าวส่งต่อ UNFCCC และจะนำเสนอต่อที่ประชุม COP 30 เป้าหมายของแผน NDC 3.0 คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซ...
ดร.ชาลี กล่าว ในแง่ความมั่นคงด้านพลังงาน ประกอบไปด้วยหัวใจหลักคือ การผลิตได้เพียงพอ ความเสถียร และราคาที่เข้าถึงได้ รศ. ดร.ชาลี ให้ความเห็นว่า
ดร.ชาลี กล่าว ในแง่ความมั่นคงด้านพลังงาน ประกอบไปด้วยหัวใจหลักคือ การผลิตได้เพียงพอ ความเสถียร และราคาที่เข้าถึงได้ รศ. ดร.ชาลี ให้ความเห็นว่า ประการแรก การผลิตไฟฟ้าของไทยที่พึ่งพาก๊าซฟอสซิลเป็นหลัก และอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศในปัจจุบัน จึงไม่ตอบโจทย์ด้านความมั่นคง ประการที่สอง โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซมีค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงมากกว่าโซลาร์เซลล์ จึงไม่ตอบโจทย์เรื่องต้นทุน และประการที่สำคัญคือ ความไม่เ...