กิริฎา เปิดงานวิจัย 4 เมกะเทรนด์โลก ต่อยอดธุรกิจใหม่ ดันไทยสู่เวทีโลก

Leo Migdal
-
กิริฎา เปิดงานวิจัย 4 เมกะเทรนด์โลก ต่อยอดธุรกิจใหม่ ดันไทยสู่เวทีโลก

ที่โรงแรมอีสตินแกรนด์ พญาไท ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI กล่าวในงาน Posttoday Thailand ECONOMIC DRIVE 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" ในหัวข้อ New Business กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตอนหนึ่งว่า จะมานำเสนองานวิจัย วิเคราะห์เกี่ยวกับธุรกิจใหม่ ที่ประเทศไทยน่าจะมีโอกาสในเวทีโลก ทั้งเรื่องสินค้า บริการ อย่างที่เราทราบ Mega Trend(เมกะเทรนด์) ในโลกอนาคต จะยังอยู่กับเราอีกนาน โดยแต่ละเรื่องล้วนเป็นโอกาสของประเทศและธุรกิจใหม่ๆ 1.ภูมิรัฐศาสตร์ การเมืองโลก แม้จะนำมาซึ่งความเสี่ยงสงคราม การกีดกันทางการค้า Supply Chain ในโลกกำลังปรับ มีทั้งย้ายการลงทุน ย้ายออกจากประเทศแม่ ไปหาประเทศที่เป็นมิตร ประเทศไทยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ยินดีต้อนรับการลงทุน โดยเฉพาะในธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ เมื่อดูตัวเลขลงทุนขอสิทธิประโยชน์จาก บีโอไอ ช่วง2-3ปีที่ผ่านมา ได้รับสิทธิบัตรจากบีโอไอไปมากมาย ประเทศที่มาส่วนใหญ่เกี่ยวกับ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ อาหารในอนาคต ผงโปรตีนมาจากแมลง บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ ถือว่าโอกาสของประเทศมาแล้ว ในท่ามกลางการเมืองโลก 2. เมกกะเทรนด์ เกี่ยวกับการลดคาร์บอน ในทุกธุรกิจที่จะมาลงทุนในประเทศ ต้องนำไปสู่สังคม โลว์คาร์บอนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น การจัดหาพลังงานสะอาด การเก็บกักพลังงานแบตเตอรี่ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงชิ้นส่วนเครื่องขนส่งทางอากาศ น้ำมันเติมเครื่องบินสีเขียว ที่มาจากน้ำมันทำกับข้าวใช้แล้ว เศษอาหาร สินค้าเกษตร นำมากลั่นใหม่กลายเป็น น้ำมันสีเขียวสำหรับเครื่องบิน โปรตีนไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์มาจากผงแมลง ทั้งนี้แต่ละบริษัทที่จะมาลงทุน ภายในปี2050 จะต้องลด Carbon Footprint ให้ได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะมากับธุรกิจและสังคมสีเขียว 3. เทคโนโลยีกับเอไอ ได้ดึงดูดการลงทุนให้เข้ามาในประเทศ ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิสก์ แทบเล็ต มือถือ Tele Medicine ที่ประเทศไทยสามารถใช้โอกาสเทคโนโลยีแพร่กระจายไปทั่วโลก ในการนำไปต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ ในส่วนของการใช้ เอไอ มากที่สุดพบว่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับ สุขภาพ รองลงไปเกี่ยวกับธุรกิจการจัดการข้อมูล การเงิน การค้าปลีก ขณะเดียวกันการเข้ามาตั้งบริษัทดาต้า เซ็นเตอร์ ที่เข้ามาตั้งในประเทศไทย เมื่อมาตั้งแล้ว จะต้องลดคาร์บอนได้ แต่ละอุตสาหกรรมล้วนผูกกัน ซึ่งถือเป็นโอกาส การใช้เทคโนโลยีเอไอ ในการนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ได้เช่นกัน

4.สังคมผู้สูงวัย ที่คนอายุ65ปี จะมีมากขึ้น ต่างต้องการสินค้า บริการแตกต่างทางสังคม แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ไทยก็รวมอยู่ในนั้นด้วยที่มีประชากรสูงวัยจำนวนมากด้วย ดังนั้น ธุรกิจเกี่ยวอาหารที่เป็นสีเขียว ดีต่อสุขภาพ การจัดชั้นในร้านค้าปลีก ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เอื้อต่อคนสูงวัย Health Care บ้านที่ต้องปรับปรุงเป็นสมาร์ทโฮม การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัย ผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ที่จะแปรเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงิน เป็นเรื่องที่ตอบโจทย์ในวันข้างหน้าและเป็นโอกาส ท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ล้วนสร้างผลกระทบ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากกับทุกประเทศทั่วโลก ทั้งการทำธุรกิจ การลงทุน ชีวิตการเป็นอยู่ ที่มีผลกระทบทั้งในทิศทางที่ดี และเชิงลบมากขึ้น ล่าสุด PostToday จัดสัมมนา PostToday x TDRI Economic Drive 2024 “ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567” เพื่อให้เห็นมุมมองเศรษฐกิจ การปรับตัวและโอกาสของภาคธุรกิจไทย เพื่อรอดพ้นจากวิกฤติที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า นางกิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ภายใต้หลายปัจจัยที่เกิดขึ้นทั่วโลกสร้างความท้าทายต่อการทำธุรกิจขึ้น แต่มองว่ายังมีโอกาสสำหรับธุรกิจในบนเวทีโลก แม้ไทยเป็นประเทศเล็ก สูงวัยและกำลังซื้อในประเทศไม่มาก แต่ไทยฉวยโอกาสจากตลาดโลกได้ ทั้งเป็นซัพพลายเชน ซัพพลายเออร์ของสินค้าและบริการสำหรับตลาดโลก ทั้งนี้หากดูโอกาสของไทยเชื่อว่ามีหลายด้านทั้งโอกาสภายใต้ภูมิรัฐศาสตร์ เมกะเทรนด์ ดิจิทัลเทคโนโลยี ที่ล้วนสร้างโอกาสใหม่ให้ธุรกิจไทย ดังนี้ 1.เมกะเทรนด์ ภูมิรัฐศาสตร์ ที่นำมาสู่ความเสี่ยงมากขึ้น ให้เกิดทั้งสงครามระหว่างประเทศ การกีดกันทางการค้า การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ดังนั้น ในช่วงซัพพลายเชนโลกกำลังปรับเปลี่ยน ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตการลงทุนอย่างมหาศาลในรอบ 50 ปี และความตึงเครียดเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์จะไม่หายไป ดังนั้น เป็นโอกาสของธุรกิจไทย ประเทศไทย ในการปรับตัวเพื่อดึงการลงทุน “จะทำให้เกิดธุรกิจใหม่ที่เข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าไฮเทค เช่น อีวี อิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ดิจิทัลเทคโนโลยี ซึ่งมีโอกาสย้ายเข้ามาในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะทิศทางทางการลงทุนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา”

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีสัมมนา “Future Forum 2025: – Great Transformation” ซึ่งมีนักวิชาการและผู้นำภาคธุรกิจเข้าร่วมกว่า 250 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยการตื่นตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาและได้รับการยอมรับตรงกันคือ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ “The Great Transformation” ครั้งนี้ นายเฮง สวี เกียต อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติของสิงคโปร์ (National Research Foundation, Singapore) ได้ให้ทรรศนะที่น่าสนใจในหัวข้อ “Economic Transformation for Peoples, For Planet” โดยระบุว่า โลกได้ผ่านวิกฤตการณ์สำคัญมาแล้ว 2 รูปแบบในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา คือวิกฤตเศรษฐกิจ (วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551) และวิกฤตโรคระบาด (โควิด-19) แม้วิกฤตเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบ แต่เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตต่อไปได้แม้จะในอัตราที่ชะลอตัวลง ทว่า วิกฤตโควิด-19 ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนภูมิทัศน์โลกไปอย่างสิ้นเชิง นายเฮง สวี เกียต ได้สรุปเมกะเทรนด์ที่กำลังขับเคลื่อนโลกในปัจจุบันภายใต้แนวคิด “4D” ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “สิงคโปร์ได้นำเทรนด์ทั้ง 4 มาเป็นแกนหลักในการวางกลยุทธ์บริหารประเทศ โดยเน้นการพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันเทคโนโลยี, การทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งปัจจุบันมีถึง 28 ฉบับ, การบริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) และการปรับใช้เทคโนโลยีในทุกภาคส่วน” นายเฮง สวี เกียต กล่าว เขายังเน้นย้ำว่า “ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ AI จะเป็นขุมพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่หัวใจหลักคือการพัฒนาศักยภาพของประชากรให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้ ภาคเอกชนต้องเปลี่ยนวิธีคิด ปรับกลยุทธ์ และเปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางความผันผวน” จากปรากฏการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่กลายเป็นเรื่องปกติ สู่ภัยพิบัติรุนแรงทั่วทุกมุมโลก วิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่ได้กลายมาเป็น “Game Changer” หรือตัวพลิกเกมครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และทุกองคาพยพของภาคธุรกิจ นี่คือประเด็นสำคัญที่สะท้อนจากเวทีเสวนา “Global Megatrend in Climate Tech” ซึ่งชี้ชัดว่าเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Tech คือเมกะเทรนด์ที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุค และเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสมหาศาลที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว

วงเสวนาประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภคมน สุภาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงศ์วิเศษ ผู้ประสานงานวิจัยความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศและการรับรู้ปรับฟื้น และหัวหน้าหน่วยบริการและจัดการคาร์บอน สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ วีรศักดิ์ พงษ์ธัญญวชัย หัวหน้าฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่า Climate Tech คือจุดเปลี่ยนที่ไม่อาจมองข้าม ภคมนระบุว่า ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นแล้ว 1.4 องศาเซลเซียส ซึ่งเข้าใกล้เพดานอันตรายที่ 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) อย่างมาก แรงกดดันนี้ทำให้ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละประมาณ 5 หมื่นล้านตัน ต้องมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) สำหรับประเทศไทย ทิศทางเชิงนโยบายกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยล่าสุดได้มีการปรับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นจากเดิมปี 2065 มาเป็นปี 2050 เพื่อให้สอดคล้องกับประชาคมโลก การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จะถูกขับเคลื่อนด้วย “พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งกำลังจะออกมาเป็นกฎหมายภาคบังคับในไม่ช้า สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือการกำหนดให้องค์กรขนาดใหญ่มีหน้าที่ต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้ว โดยปัจจุบันมีองค์กรในไทยที่รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับ TGO กว่า 1,700 แห่ง และในจำนวนนี้กว่า 100 แห่งได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero อย่างชัดเจน โดยภายใต้กฎหมายใหม่ คาดว่าจะมีองค์กรที่เข้าข่ายต้องรายงานเพิ่มขึ้นเป็นราว 3,200 แห่ง และในอนาคตจะมีการกำหนดเพดานการปล่อย (Emission Trading Scheme: ETS) ซึ่งหมายความว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะไม่ใช่เรื่องของความสมัครใจอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องบริหารจัดการอย่างจริงจัง "กิริฎา" ทีดีอาร์ไอ ย้ำกลางเวที Posttoday Thailand Economic Drive 2024 ชี้ 4 เมกะเทรนด์โลก ช่วยดันไทยสู่เวทีโลก เผยโอกาสไทยมีเพียบ พร้อมนำวิจัยไปต่อยอดธุรกิจใหม่ แนะใช้พลังสร้างสรรค์ควบคู่ซอฟต์พาวเวอร์ ชดันเศรษฐกิจไทยโต

ควันหลงเวที Posttoday Thailand ECONOMIC DRIVE 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" ในหัวข้อ New Business กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยังมีมุมมองจากหลายท่านที่น่าสนใจ ตอนหนึ่ง ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI กล่าวว่า ธุรกิจใหม่ที่ประเทศไทยน่าจะมีโอกาสในเวทีโลก ทั้งเรื่องสินค้า บริการ อย่างที่เราทราบ Mega Trend(เมกะเทรนด์) ในโลกอนาคต จะยังอยู่กับเราอีกนาน โดยแต่ละเรื่องล้วนเป็นโอกาสของประเทศและธุรกิจใหม่ๆ ดังนี้ 1.ภูมิรัฐศาสตร์ การเมืองโลก แม้จะนำมาซึ่งความเสี่ยงสงคราม การกีดกันทางการค้า Supply Chain ในโลกกำลังปรับ มีทั้งย้ายการลงทุน ย้ายออกจากประเทศแม่ ไปหาประเทศที่เป็นมิตร ประเทศไทยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ยินดีต้อนรับการลงทุน โดยเฉพาะในธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ เมื่อดูตัวเลขลงทุนขอสิทธิประโยชน์จาก บีโอไอ ช่วง2-3ปีที่ผ่านมา ได้รับสิทธิบัตรจากบีโอไอไปมากมาย ประเทศที่มาส่วนใหญ่เกี่ยวกับ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ อาหารในอนาคต ผงโปรตีนมาจากแมลง บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ ถือว่าโอกาสของประเทศมาแล้ว ในท่ามกลางการเมืองโลก 2.เมกกะเทรนด์ เกี่ยวกับการลดคาร์บอน ในทุกธุรกิจที่จะมาลงทุนในประเทศ ต้องนำไปสู่สังคม โลว์คาร์บอนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น การจัดหาพลังงานสะอาด การเก็บกักพลังงานแบตเตอร์รี่ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงชิ้นส่วนเครื่องขนส่งทางอากาศ น้ำมันเติมเครื่องบินสีเขียว ที่มาจากน้ำมันทำกับข้าวใช้แล้ว เศษอาหาร สินค้าเกษตร นำมากลั่นใหม่กลายเป็น น้ำมันสีเขียวสำหรับเครื่องบิน โปรตีนไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์มาจากผงแมลง ทั้งนี้แต่ละบริษัทที่จะมาลงทุน ภายในปี2050 จะต้องลด Carbon Footprint ให้ได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะมากับธุรกิจและสังคมสีเขียว 3.เทคโนโลยีกับเอไอ ได้ดึงดูดการลงทุนให้เข้ามาในประเทศ ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แทบเล็ต มือถือ Tele Medicine ที่ประเทศไทยสามารถใช้โอกาสเทคโนโลยีแพร่กระจายไปทั่วโลก ในการนำไปต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ ในส่วนของการใช้ เอไอ มากที่สุดพบว่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับ สุขภาพ รองลงไปเกี่ยวกับธุรกิจการจัดการข้อมูล การเงิน การค้าปลีก ขณะเดียวกันการเข้ามาตั้งบริษัทดาต้า เซ็นเตอร์ ที่เข้ามาตั้งในประเทศไทย เมื่อมาตั้งแล้ว จะต้องลดคาร์บอนได้ แต่ละอุตสาหกรรมล้วนผูกกัน ซึ่งถือเป็นโอกาส การใช้เทคโนโลยีเอไอ ในการนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ได้เช่นกัน ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระห่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในงานสัมมนา THAILAND ECONOMIC DRIVES หัวข้อเรื่อง “NEW BUSINESS กับการขับเคลื่อน” ว่า แม้ว่าประเทศไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอน แต่เรายังมีโอกาสจากการปรับโมเดลธุรกิจ หรือการสร้างธุรกิจใหม่ๆ โดยมองว่าเมกะเทรนด์ที่จะมีในโลก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อีก 10 -20 ปี เทรนด์เหล่านั้นก็ยังอยู่กับเรา แบ่งเป็น 4 เทรนด์ ได้แก่

1.ภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจุบันยังเผชิญกับ การเมืองโลก ซึ่งนำมาซึ่งความเสี่ยงต่างๆ เช่น สงคราม การกีดกันการค้า โดยอเมริกา ก็ยังมีความขัดแย้งกับจีน ฉะนั้น ซับพลายเชนในโลกกำลังปรับ ไปยังประเทศต่างๆ ที่เป็นเพื่อนเขา บางส่วนย้ายกลับไปประเทศแม่ บางส่วนมองการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่เป็นมิตร สำหรับการย้ายฐานการลงทุนอย่างมหาศาลในครั้งนี้ไม่ได้มีมาบ่อย 50 ปีมาครั้ง ถือเป็นโอกาสของไทย โดยการย้ายฐานการลงทุนมีมา 4-5 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากสงครามการค้า และหนีการดิสรัปชั่นที่มาประเทศไทยมีจำนวนไม่น้อย ทั้งนี้ มองว่าเทรนด์นี้จะไม่จบง่ายๆ ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยก็ไม่ใช่สินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น ส่วนใหญ่ไทยจะได้สินค้าเป็นธุรกิจใหม่ เช่น อีวี อิเล็กทรอนิกส์ และดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นต้น ทั้งนี้ จากข้อมูลการลงทุนที่มาขอสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า เทรนด์ที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และจีน ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ล่าสุด สำนักข่าว PostToday จัดสัมมนา “PostToday Thailand Economic Drive 2024 ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจปี 2567 เพื่อให้เห็นมุมมองเศรษฐกิจ การปรับตัว และโอกาสของภาคธุรกิจไทย เพื่อรอดพ้นจากวิกฤติที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า “กิริฎา เภาพิจิตร” ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่เล็ก สูงวัย และกำลังซื้อในประเทศไม่ได้มากนัก แต่ไทยสามารถฉกฉวยโอกาสจากตลาดโลกได้ จาก 4 เมกะเทรนด์ เมกะเทรนด์แรก ภูมิรัฐศาสตร์ ที่นำมาสู่ความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้เกิดทั้งสงครามระหว่างประเทศ การกีดกันทางการค้า ในช่วงซัพพลายเชนโลกกำลังปรับเปลี่ยน ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตการลงทุนอย่างมหาศาล ในรอบ 50 ปี เหล่านี้คือ โอกาสของธุรกิจประเทศไทยในการปรับตัว เพื่อทำให้ดึงดูดการลงทุนเหล่านี้เข้ามามากขึ้น

โดยเฉพาะ สินค้าที่เป็นนิวบิซิเนส เช่น สินค้าไฮเทค เช่น ยานยนต์อีวี อิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ดิจิทัลเทคโนโลยี เหล่านี้มีโอกาสย้ายเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เมกะเทรนด์ที่สอง สินค้าที่เกี่ยวกับ Low carbon การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การไปสู่สังคมโลกคาร์บอนจึงเป็นการสร้างโอกาสสำหรับนิวบิซิเนสมากขึ้น ที่รัฐสภา เวทีเสวนาวิชาการ หัวข้อ SMEs ไทยจะรับมืออย่างไรกับ Megatrend ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญ และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมอภิปราย.นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพย์โซลูชั่น จำกัดกล่าวถึงการปรับตัวของ SMEs ในยุคดิจิทัล โดยแสดงความกังวลต่อการเข้ามาตีตลาดของทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ จึงอยากเห็นเจ้าหน้าที่ทำงานเชิงรุกมากขึ้น เมื่อเจอสินค้าที่เข้าข่ายผิดกฎหมายต้องติดตามไปให้ถึงต้นตอ.ส่วนผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมการรับมือการบุกเข้ามาของทุนต่างชาติทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยนำเทคโนโลยี AI เข้าไปใช้ประโยชน์ช่วยในการค้าขายเพิ่มศักยภาพให้องค์กร เพิ่มทักษะให้กับบุคลากรในองค์กร เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ขณะเดียวกันขอเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนนโยบาย คนทำการค้าออนไลน์เพื่อให้มีแต้มต่อสามารถแข่งขันกับทุนต่างชาติได้ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกฎหมาย ทั้งในส่วนของ กฎหมายที่เกี่ยวกับสินค้าจับต้องได้และกฎหมายที่เกี่ยวกับสินค้าดิจิทัล.นายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ อดีตประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย กล่าวถึงการปรับตัวของ SMEs... มิติที่ 1 การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร (Direct Emissions) เช่น การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากองค์กร เช่น การใช้เชื้อเพลิงต่างๆ ในกระบวนการผลิต, การใช้ยานยนต์ขนส่งภายในองค์กร, การรั่วไหลของสารทำความเย็น มิติที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions) เช่น การซื้อไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน หรือความเย็น เพื่อนำมาใช้ภายในองค์กร หรือโรงงานอุตสาหกรรม และมิติที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Other Indirect Emissions) เช่น การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ตลอดทั้งซัพพลายเชนที่นอกเหนือจาก 2 มิติข้างต้น อาทิ การซื้อวัตถุดิบจากผู้ผลิตต้นน้ำ ซึ่งคิดจากการได้มาซึ่งวัตถุดิบ แปรรูป และขนส่งมายังสถานที่ผลิตของเรา รวมถึงการเดินทางทางธุรกิจที่เกิดขึ้น หรือการเดินทางของพนักงานด้วย.สำหรับการประเมินดังกล่าว เป็นกลไกที่ไม่เพียงช่วยให้องค์กรมองเห็น ‘ผลกระทบต่อโลก’ ที่สร้างขึ้นผ่านปริมาณก๊าซเรือน แต่ยังเป็นเข็มทิศให้กับองค์กรในการปรับแผนกลยุทธ์สำหรับการเปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจของตน มองหาโซลูชั่นส์ใหม่ๆ ทั้งด้านพลังงาน กระบวนการผลิต รวมถึงจัดหาวัตถุดิบทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น.ด้านนายนรุตม์ชัย บุนนาค คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคไทยสร้างไทย เห็นว่าการพักใช้กฎหมายเพื่อให้ SMEs เติบโตเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งพรรคไทยสร้างไทย ได้ร่างกฎหมายเข้าสู่สภาแล้ว...

People Also Search

ที่โรงแรมอีสตินแกรนด์ พญาไท ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI กล่าวในงาน Posttoday Thailand

ที่โรงแรมอีสตินแกรนด์ พญาไท ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI กล่าวในงาน Posttoday Thailand ECONOMIC DRIVE 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" ในหัวข้อ New Business กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตอนหนึ่งว่า จะมานำเสนองานวิจัย วิเคราะห์เกี่ยวกับธุรกิจใหม่ ที่ประเทศไทยน่าจะมีโอกาสในเวทีโลก ทั้งเรื่องสินค้า บริการ อย่า...

4.สังคมผู้สูงวัย ที่คนอายุ65ปี จะมีมากขึ้น ต่างต้องการสินค้า บริการแตกต่างทางสังคม แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ไทยก็รวมอยู่ในนั้นด้วยที่มีประชากรสูงวัยจำนวนมากด้วย ดังนั้น ธุรกิจเกี่ยวอาหารที่เป็นสีเขียว ดีต่อสุขภาพ

4.สังคมผู้สูงวัย ที่คนอายุ65ปี จะมีมากขึ้น ต่างต้องการสินค้า บริการแตกต่างทางสังคม แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ไทยก็รวมอยู่ในนั้นด้วยที่มีประชากรสูงวัยจำนวนมากด้วย ดังนั้น ธุรกิจเกี่ยวอาหารที่เป็นสีเขียว ดีต่อสุขภาพ การจัดชั้นในร้านค้าปลีก ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เอื้อต่อคนสูงวัย Health Care บ้านที่ต้องปรับปรุงเป็นสมาร์ทโฮม การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัย ผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ที่จะแปรเปลี่...

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีสัมมนา “Future Forum 2025: – Great Transformation”

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีสัมมนา “Future Forum 2025: – Great Transformation” ซึ่งมีนักวิชาการและผู้นำภาคธุรกิจเข้าร่วมกว่า 250 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยการตื่นตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาและได้รับการยอมรับตรงกันคือ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ “The Great Transformation” ครั้...

วงเสวนาประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภคมน สุภาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) รศ.ดร.สุทธิรัตน์

วงเสวนาประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภคมน สุภาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงศ์วิเศษ ผู้ประสานงานวิจัยความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศและการรับรู้ปรับฟื้น และหัวหน้าหน่วยบริการและจัดการคาร์บอน สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ วีรศักดิ์ พงษ์ธัญญวชัย หัวหน้าฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนอง...

ควันหลงเวที Posttoday Thailand ECONOMIC DRIVE 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" ในหัวข้อ New

ควันหลงเวที Posttoday Thailand ECONOMIC DRIVE 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" ในหัวข้อ New Business กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยังมีมุมมองจากหลายท่านที่น่าสนใจ ตอนหนึ่ง ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI กล่าวว่า ธุรกิจใหม่ที่ประเทศไทยน่าจะมีโอกาสในเวทีโลก ทั้งเรื่องสินค้า บริการ อย่างที่เราทราบ Mega Trend(เมก...