คลื่นความร้อนทางทะเลส่งผลกระทบอย่างรุนแรง แนวปะการังลดลงมากที่สุดในรอบ

Leo Migdal
-
คลื่นความร้อนทางทะเลส่งผลกระทบอย่างรุนแรง แนวปะการังลดลงมากที่สุดในรอบ

การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าคลื่นความร้อนทางทะเลที่ทำลายสถิติเมื่อปีที่แล้วทำให้พื้นที่ปกคลุมปะการังลดลงมากที่สุดที่เคยบันทึกไว้ในพื้นที่ทางตอนเหนือและตอนใต้ของแนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟของออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปี 2559 การสำรวจแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ปกคลุมปะการังในออสเตรเลียลดลงในรอบปีมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการติดตามตรวจสอบในปี 2529 Earth.org รายงานว่าสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งออสเตรเลีย (AIMS) ได้สำรวจแนวปะการัง 124 แห่งระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 ถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2568 ผลการสำรวจพบว่าพื้นที่ปกคลุมปะการังลดลง ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงส่งผลให้ภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรวดเร็วและรุนแรงต่อชุมชนปะการัง และได้เรียกร้องให้ทั่วโลกเพิ่มความเข้มข้นของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเสริมสร้างมาตรการอนุรักษ์เพื่อช่วยให้ปะการังปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนวปะการังเป็นเสาหลักสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลในกว่า 100 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก เป็นแหล่งบริการระบบนิเวศที่มีมูลค่าสูงถึง 9.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับฉายาว่า "ป่าฝนแห่งท้องทะเล" อย่างไรก็ตาม ในขณะที่อุณหภูมิของมหาสมุทรโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น แนวปะการังกำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้สาหร่ายซึ่งเป็นส่วนสำคัญในปะการังสูญพันธุ์ ทำให้เกิดภาวะปะการังฟอกขาว ภาวะเครียดจากความร้อนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ทำให้ปะการังฟื้นตัวช้าลง และอาจนำไปสู่การตายของปะการังได้ องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NOAA) รายงานว่า 83.7% ของแนวปะการังทั่วโลกได้รับผลกระทบจากภาวะเครียดจากความร้อนตั้งแต่ปี พ.ศ.

2566 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งที่ 4 ของโลก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) รายงานว่าในปี พ.ศ. 2567 ปริมาณความร้อนในมหาสมุทรแตะระดับสูงสุดในรอบ 65 ปี โดย 8 ปีที่ผ่านมาได้สร้างสถิติใหม่ด้านปริมาณความร้อนในมหาสมุทร โดยมีอัตราการเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าสองเท่าของทศวรรษก่อนหน้า ตามข้อมูลล่าสุดของเครือข่ายติดตามแนวปะการังโลก (GCRMN) ปะการังทั่วโลกสูญเสียปริมาณปะการังไปประมาณ 14% ตั้งแต่ปี 2552 Derek Manzello หัวหน้าฝ่ายติดตามแนวปะการังของ NOAA เตือนว่าความถี่และความรุนแรงของการฟอกขาวของปะการังที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผู้คนนับล้านที่พึ่งพาแนวปะการังในการดำรงชีพตามข้อมูลล่าสุดของเครือข่ายติดตามแนวปะการังโลก (GCRMN) ปะการังทั่วโลกสูญเสียปริมาณปะการังไปประมาณ 14% ตั้งแต่ปี 2552 Derek Manzello หัวหน้าฝ่ายติดตามแนวปะการังของ NOAA เตือนว่าความถี่และความรุนแรงของการฟอกขาวของปะการังที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผู้คนนับล้านที่พึ่งพาแนวปะการังในการดำรงชีพ ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super marine heat waves) “ระบบนิเวศทางทะเลไม่เคยเจอไม่เคยเจอคลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง จนระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขนาดนี้มาก่อน” โบยิน ฮวง นักสมุทรศาสตร์จากสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติกล่าว โลกได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนทางสิ่งแวดล้อมครั้งแรกที่เชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยแนวปะการังน้ำอุ่นทั่วโลกกำลังเผชิญภาวะเสื่อมโทรมระยะยาว และเสี่ยงต่อการสูญเสียแหล่งทำกินของผู้คนหลายร้อยล้านคน ตามรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากนักวิทยาศาสตร์และนักอนุรักษ์เตือนว่า โลกกำลังอยู่บนขอบเหวของจุดเปลี่ยนอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่น การตายของป่าฝนแอมะซอน การล่มสลายของกระแสน้ำในมหาสมุทร และการสูญเสียน้ำแข็งขั้วโลก อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางรายตั้งข้อสงสัยต่อข้อสรุปในรายงาน โดยชี้ว่า แม้แนวปะการังจะอยู่ในภาวะถดถอย แต่ยังมีหลักฐานบางส่วนบ่งชี้ว่า ปะการังบางชนิดอาจยังคงอยู่รอดได้ในอุณหภูมิที่สูงกว่าที่รายงานประเมินไว้ นักวิทยาศาสตร์นิยาม “จุดเปลี่ยน” (tipping point) ว่าเป็นจุดที่ระบบนิเวศขนาดใหญ่เข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนวปะการังทั่วโลกเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลถึงหนึ่งในสี่ของทั้งหมด แต่ถือเป็นระบบนิเวศที่เปราะบางที่สุดต่อภาวะโลกร้อน หากอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ลดลงสู่ระดับ 1.2 องศาเซลเซียส (และในที่สุดอย่างน้อยต้องถึง 1 องศา) อย่างเร่งด่วน มนุษย์จะไม่สามารถรักษาแนวปะการังน้ำอุ่นไว้ในระดับที่มีความหมายได้

ตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 และรุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ โดยกว่า 80% ของแนวปะการังในมากกว่า 80 ประเทศได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่ร้อนจัด ออสเตรเลียขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และหนึ่งในนั้นคือ "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำทั่วโลก แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า อีกฟากหนึ่งของออสเตรเลีย ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ยังมีขุมทรัพย์ใต้ทะเลที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน นั่นคือ "แนวปะการังนินกาลู" แนวปะการังชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเพิร์ธประมาณ 14 ชั่วโมงโดยรถยนต์ นินกาลู เป็นพื้นที่มรดกโลกของยูเนสโกอีกแห่งหนึ่ง และมีป่าทะเลเขียวชอุ่มทอดตัวยาวหลายร้อยกิโลเมตรตามแนวชายฝั่ง นักท่องเที่ยวสามารถเดินจากชายหาดทะเลทรายเข้าไปยังทะเลสีฟ้าใส และเริ่มดำน้ำตื้นเพียงไม่กี่ก้าว เพื่อพบกับโลกใต้น้ำที่อุดมด้วยปะการัง เต่าทะเล กระเบนราหู ฉลามแนวปะการัง และฉลามวาฬ แต่ปีนี้ นินกาลู กำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ ด้วยอุณหภูมิของน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจาก "คลื่นความร้อนทางทะเล"ปะการังเริ่มแสดงอาการ "ฟอกขาว" เปลี่ยนจากสีสดใสเป็นขาวซีด เนื่องจากความเครียดจากความร้อน แม้บางส่วนอาจฟื้นตัวได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และนักวิทยาศาสตร์ก็ตกตะลึงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งแนวปะการังตะวันตกและตะวันออกของออสเตรเลียเกิดภาวะฟอกขาวพร้อมกัน

อุตุนิยมวิทยาเครือข่าย » อุตุนิยมวิทยา » การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน แต่ความจริงก็คือสถิติความร้อนในทะเลทั้งหมดกำลังถูกทำลายลง พื้นผิวมหาสมุทรเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ และผลกระทบสามารถรู้สึกได้ในระดับโลก คลื่นความร้อนทางทะเลไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเท่านั้น บ่อยขึ้นและยาวนานขึ้นแต่ได้กลายเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบอุณหภูมิของน้ำสูงถึง สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4ºC ในสถานที่เช่นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ห่างไกล เช่น ทะเลบาเลียริก หรือชายฝั่งอังกฤษ ตั้งแต่ปลายปี 2024 เป็นต้นไป ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกำลังเผชิญสถานการณ์วิกฤต ของความร้อนที่คงอยู่ใต้ผิวน้ำ ทะเลแห่งนี้ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าว อุณหภูมิกำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึงสองถึงสามเท่าและอัตราปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นเวลาสองทศวรรษ ในพื้นที่ของทะเลอัลโบรันหรือทะเลแบเลียริก ความผิดปกติซ้ำๆ เกิน 4ºC ความแตกต่างเมื่อเทียบกับค่าปกติ ในขณะที่ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น อุณหภูมิจะยังคงสูงกว่า 2 องศาเซลเซียส น้ำทะเลแคนตาเบรียนและมหาสมุทรแอตแลนติกก็ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้เช่นกัน เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 67%โดยเพิ่มขึ้น 0,25ºC ต่อทศวรรษ การวอร์มอัพนี้แสดงถึง สัญญาณเตือนดาวเคราะห์มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจกได้มากกว่า 90% ทำหน้าที่เป็นตัวกันชนความร้อน หากปราศจากหน้าที่นี้ อุณหภูมิบนพื้นดินจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก ข่าวต่างประเทศ Thursday June 5, 2025 12:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกแห่งสหประชาชาติ (WMO) เปิดเผยรายงานในวันนี้ (5 มิ.ย.) ระบุว่า คลื่นความร้อนทางทะเลที่รุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้เมื่อปี 2567 ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นผิวมหาสมุทรทั่วโลกกว่า 10% สร้างความเสียหายแก่แนวปะการัง และทำให้ธารน้ำแข็งเขตร้อนแห่งสุดท้ายของภูมิภาคเสี่ยงต่อการสูญสลาย รายงานประจำปีของ WMO ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในปี 2567 ในภูมิภาคดังกล่าว ซึ่งครอบคลุมออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมถึงกลุ่มประเทศเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 2534-2563 เกือบ 0.5 องศาเซลเซียส แบลร์ เทรวิน หนึ่งในผู้เขียนรายงานของ WMO กล่าวว่า "พื้นที่ส่วนใหญ่ของภูมิภาคเผชิญกับสภาวะคลื่นความร้อนทางทะเลที่รุนแรงเป็นอย่างน้อยในช่วงใดช่วงหนึ่งของปี 2567 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ใกล้และทางใต้ของเส้นศูนย์สูตร" รายงานยังชี้ว่า ความร้อนสุดขั้วตลอดทั้งปีกระทบพื้นที่มหาสมุทรกว่า 40 ล้านตารางกิโลเมตร และมีการบันทึกอุณหภูมิสูงสุดใหม่ในฟิลิปปินส์และออสเตรเลีย อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรก็ทำสถิติใหม่เช่นกัน ขณะที่ปริมาณความร้อนสะสมในมหาสมุทรโดยรวมสูงเป็นอันดับสองรองจากปี 2565 งานวิจัยใหม่พบว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า ส่งผลให้พายุรุนแรงขึ้น ทำลายระบบนิเวศสำคัญ อย่าง ป่าสาหร่ายทะเลและแนวปะการัง ผลการศึกษาพบว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ส่งทำให้คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยาวนานขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งความร้อนในทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินี้ไม่เพียงแต่จะทำให้พายุทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำลายระบบนิเวศทางทะเลที่สำคัญ เช่น ป่าสาหร่ายทะเลและแนวปะการัง

นักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ราวครึ่งหนึ่งของคลื่นความร้อนในมหาสมุทร นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จะไม่เกิดขึ้นหากไม่มีภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล และคลื่นความร้อนไม่เพียงแต่เกิดบ่อยครั้งขึ้นเท่านั้น แต่ยังรุนแรงขึ้นด้วย ด้วยมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส แต่ในบางพื้นที่อาจร้อนกว่านั้นมาก งานวิจัยนี้เป็นการประเมินผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มีต่อคลื่นความร้อนในมหาสมุทรทั่วโลกอย่างครอบคลุมเป็นครั้งแรก และยังเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง โดยระบุว่า มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้น้อยลง ซึ่งเป็นตัวเร่งอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นอีก ดร.มาร์ต้า มาร์กอส (Dr Marta Marcos) จากสถาบันศึกษาเมดิเตอร์เรเนียนในเมืองมายอร์กาของสเปน ซึ่งเป็นผู้นำการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ระบุว่า ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีคลื่นความร้อนในทะเลที่ร้อนกว่าอุณหภูมิปกติถึง 5 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นเรื่องแย่มากเมื่อลงไปว่ายน้ำ เนื่องจากน้ำร้อนเหมือนซุป

People Also Search

การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าคลื่นความร้อนทางทะเลที่ทำลายสถิติเมื่อปีที่แล้วทำให้พื้นที่ปกคลุมปะการังลดลงมากที่สุดที่เคยบันทึกไว้ในพื้นที่ทางตอนเหนือและตอนใต้ของแนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟของออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปี 2559 การสำรวจแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ปกคลุมปะการังในออสเตรเลียลดลงในรอบปีมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการติดตามตรวจสอบในปี 2529 Earth.org รายงานว่าสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งออสเตรเลีย

การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าคลื่นความร้อนทางทะเลที่ทำลายสถิติเมื่อปีที่แล้วทำให้พื้นที่ปกคลุมปะการังลดลงมากที่สุดที่เคยบันทึกไว้ในพื้นที่ทางตอนเหนือและตอนใต้ของแนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟของออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปี 2559 การสำรวจแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ปกคลุมปะการังในออสเตรเลียลดลงในรอบปีมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการติดตามตรวจสอบในปี 2529 Ea...

2566 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งที่ 4 ของโลก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) รายงานว่าในปี พ.ศ. 2567 ปริมาณความร้อนในมหาสมุทรแตะระดับสูงสุดในรอบ

2566 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งที่ 4 ของโลก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) รายงานว่าในปี พ.ศ. 2567 ปริมาณความร้อนในมหาสมุทรแตะระดับสูงสุดในรอบ 65 ปี โดย 8 ปีที่ผ่านมาได้สร้างสถิติใหม่ด้านปริมาณความร้อนในมหาสมุทร โดยมีอัตราการเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าสองเท่าของทศวรรษก่อนหน้า ตามข้อมูลล่าสุดของเครือข่ายติดตามแนวปะการังโลก (GCRMN) ปะการังทั่วโลกสูญเสียปริมาณปะการังไปประมาณ 14%...

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super Marine Heat Waves) “ระบบนิเวศทางทะเลไม่เคยเจอไม่เคยเจอคลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super marine heat waves) “ระบบนิเวศทางทะเลไม่เคยเจอไม่เคยเจอคลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง จนระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขนาดนี้มาก่อน” โบยิน ฮวง นักสมุทรศาสตร์จากสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยา...

ตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 และรุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ โดยกว่า 80% ของแนวปะการังในมากกว่า 80 ประเทศได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่ร้อนจัด

ตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 และรุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ โดยกว่า 80% ของแนวปะการังในมากกว่า 80 ประเทศได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่ร้อนจัด ออสเตรเลียขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และหนึ่งในนั้นคือ "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และเป็นสวรรค์ของนักดำ...

อุตุนิยมวิทยาเครือข่าย » อุตุนิยมวิทยา » การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน

อุตุนิยมวิทยาเครือข่าย » อุตุนิยมวิทยา » การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน แต่ความจริงก็คือสถิติความร้อนในทะเลทั้งหมดกำลังถ...