ไฟป่าใต้ทะเล คลื่นความร้อนทางทะเลคุกคามแนวปะการังออสเตรเลีย

Leo Migdal
-
ไฟป่าใต้ทะเล คลื่นความร้อนทางทะเลคุกคามแนวปะการังออสเตรเลีย

ออสเตรเลียขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และหนึ่งในนั้นคือ "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำทั่วโลก แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า อีกฟากหนึ่งของออสเตรเลีย ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ยังมีขุมทรัพย์ใต้ทะเลที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน นั่นคือ "แนวปะการังนินกาลู" แนวปะการังชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเพิร์ธประมาณ 14 ชั่วโมงโดยรถยนต์ นินกาลู เป็นพื้นที่มรดกโลกของยูเนสโกอีกแห่งหนึ่ง และมีป่าทะเลเขียวชอุ่มทอดตัวยาวหลายร้อยกิโลเมตรตามแนวชายฝั่ง นักท่องเที่ยวสามารถเดินจากชายหาดทะเลทรายเข้าไปยังทะเลสีฟ้าใส และเริ่มดำน้ำตื้นเพียงไม่กี่ก้าว เพื่อพบกับโลกใต้น้ำที่อุดมด้วยปะการัง เต่าทะเล กระเบนราหู ฉลามแนวปะการัง และฉลามวาฬ แต่ปีนี้ นินกาลู กำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ ด้วยอุณหภูมิของน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจาก "คลื่นความร้อนทางทะเล"ปะการังเริ่มแสดงอาการ "ฟอกขาว" เปลี่ยนจากสีสดใสเป็นขาวซีด เนื่องจากความเครียดจากความร้อน แม้บางส่วนอาจฟื้นตัวได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และนักวิทยาศาสตร์ก็ตกตะลึงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งแนวปะการังตะวันตกและตะวันออกของออสเตรเลียเกิดภาวะฟอกขาวพร้อมกัน อุตุนิยมวิทยาเครือข่าย » อุตุนิยมวิทยา » การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน แต่ความจริงก็คือสถิติความร้อนในทะเลทั้งหมดกำลังถูกทำลายลง พื้นผิวมหาสมุทรเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ และผลกระทบสามารถรู้สึกได้ในระดับโลก คลื่นความร้อนทางทะเลไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเท่านั้น บ่อยขึ้นและยาวนานขึ้นแต่ได้กลายเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบอุณหภูมิของน้ำสูงถึง สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4ºC ในสถานที่เช่นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ห่างไกล เช่น ทะเลบาเลียริก หรือชายฝั่งอังกฤษ ตั้งแต่ปลายปี 2024 เป็นต้นไป ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกำลังเผชิญสถานการณ์วิกฤต ของความร้อนที่คงอยู่ใต้ผิวน้ำ ทะเลแห่งนี้ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าว อุณหภูมิกำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึงสองถึงสามเท่าและอัตราปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นเวลาสองทศวรรษ ในพื้นที่ของทะเลอัลโบรันหรือทะเลแบเลียริก ความผิดปกติซ้ำๆ เกิน 4ºC ความแตกต่างเมื่อเทียบกับค่าปกติ ในขณะที่ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น อุณหภูมิจะยังคงสูงกว่า 2 องศาเซลเซียส น้ำทะเลแคนตาเบรียนและมหาสมุทรแอตแลนติกก็ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้เช่นกัน เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 67%โดยเพิ่มขึ้น 0,25ºC ต่อทศวรรษ การวอร์มอัพนี้แสดงถึง สัญญาณเตือนดาวเคราะห์มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจกได้มากกว่า 90% ทำหน้าที่เป็นตัวกันชนความร้อน หากปราศจากหน้าที่นี้ อุณหภูมิบนพื้นดินจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก แนวปะการังนิงกาลู ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลีย เป็นแนวปะการังชายฝั่งที่ยาวที่สุดในโลก และมีระบบนิเวศทางทะเลที่โดดเด่นเฉพาะตัว ที่นี่เป็นแหล่งอาศัยของปะการังหลากสีสัน ปลาอีกนานาชนิด รวมถึงสัตว์ทะเลที่ถูกคุกคามอย่างฉลามวาฬ เต่าตนุ และวาฬปิ๊กมี่สีน้ำเงิน (pygmy blue whale) อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางฤดูหนาวของซีกโลกใต้มีรายงานระบุว่าพื้นที่แนวปะการังนิงกาลูที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ต้องเผชิญกับปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ความร้อนจากน้ำทะเลได้ทำลายสีสันสดใสของปะการังจนกลายเป็นสีขาวโพลน

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์การขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของสาหร่าย (algal blooms) ได้คุกคามชายฝั่งตอนใต้ของออสเตรเลียอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศทางทะเล เพียงไม่กี่สัปดาห์และไม่กี่เดือนหลังจากนั้น สัตว์ทะเลจำนวนมากทั้งฉลาม กระเบน ม้าน้ำ และปลาหลากหลายสายพันธุ์ ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นที่ชายฝั่ง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยวและประมงซึ่งพึ่งพาความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร ใต้ท้องทะเลที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาด้วยสาหร่ายทะเล ปะการัง และฟองน้ำ บัดนี้กลับกลายเป็นพื้นที่ที่ปราศจากชีวิต อุณหภูมิที่สูงขึ้นของมหาสมุทรรอบออสเตรเลียนั้นก่อให้เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลอันสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ตัวการสำคัญของอุณหภูมิใต้ทะเลที่สูงขึ้นนี้คือการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล ความเสียหายจากหายนะทางสิ่งแวดล้อมครั้งนี้อาจมีมูลค่าสูงถึงหลายสิบล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมฟอสซิลในออสเตรเลียยิ่งเร่งเดินหน้าขยายการผลิตพลังงานถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล เพียงเพื่อผลกำไร การได้เดินจากชายหาดสู่ชายฝั่งแล้วปล่อยให้กระแสคลื่นพัดพาให้ล่องไปอย่างแผ่วเบาเหนือแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ คือหนึ่งในประสบการณ์ที่พิเศษที่สุดในชีวิตของฉัน และคงเป็นประสบการณ์ที่ชาวออสเตรเลียและนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนนิงกาลูต่างรู้สึกเหมือนกัน เพราะที่แห่งนี้คือแนวปะการังริมฝั่งที่ยาวที่สุดในโลก พบได้เพียงที่ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียเท่านั้น เมื่อเดือนที่แล้วองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ในสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศเตือนว่า โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 และกำลังส่งผลกระทบต่ออย่างน้อย 53 ประเทศทั่วโลก เกรตแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) แนวปะการังนอกชายฝั่งขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งประสบกับฤดูร้อนที่เลวร้ายที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นหนึ่งในแนวปะการังที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากอุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงทำลายสถิติในปีที่ผ่านมา อันมีสาเหตุหลักมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น และถูกเร่งโดยปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรสูงขึ้น จากการลงพื้นที่สำรวจ CNN พบเห็นการฟอกขาวบนแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ บนแนวปะการัง 5 แห่งที่ทอดยาวไปทางตอนเหนือและตอนใต้ของระบบนิเวศระยะทาง 2,300 กิโลเมตร

“สิ่งที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรของเราตอนนี้เหมือนกับการเกิดไฟป่าใต้น้ำ” เคท ควิกลีย์ นักวิจัยที่มูลนิธิมินเดอรู (Minderoo Foundation) ของออสเตรเลีย กล่าว โดยนอกจากแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟแล้ว คลื่นความร้อนใต้ท้องทะเลขนาดมหึมาที่แผ่ขยายไปทั่วโลกยังส่งผลกระทบต่อแนวปะการังที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกแห่งอื่นๆ ซึ่งรวมถึงแนวปะการังในทะเลแดง อินโดนีเซีย และเซเชลส์ด้วย มหาสมุทรเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างแยกจากกันไม่ได้ โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสนับสนุนชีวิตบนบกอีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งในอดีตนั้นคลื่นความร้อนในทะเลไม่เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์จากสมาคมชีววิทยาทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ทั่วโลกได้ชี้ว่า ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน “ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว “และเมื่อคลื่นความร้อนใต้ทะเลยังคงเพิ่มขึ้น เราก็มีแนวโน้มที่จะเห็นการสูญเสียสายพันธุ์และระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้นทั่วโลก”

ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate Change ทีมวิจัยได้เปิดเผยว่าในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 และ 2024 ที่ผ่านมานั้นมีวันที่เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 240% เมื่อเทืยบกับสถิติเดิม การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ชีวิตต่าง ๆ ต้องดิ้นรนมากขึ้นทั้งในแนวปะการัง การประมง และชุมชนชายฝั่ง ในยุโรปนั้นคลื่นความร้อนในทะเลทำให้อุณหภูมิพื้นดินในหมู่เกาะอังกฤษสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทำให้ประชากรปลาได้รับผลกระทบอย่างหนัก ออสเตรเลียกำลังเผชิญกับวิกฤตไฟป่าครั้งใหญ่ ซ้ำเติมด้วยอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์และภัยแล้งที่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายเดือน รัฐนิวเซาท์เวลส์เผชิญกับไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดโดยมีพื้นที่ถูกทำลายไป 4 หมื่น ตร.กม. แล้ว บ้านมากกว่า 1.3 พันหลังพังเสียหาย และผู้คนหลายพันต้องอพยพออกจากพื้นที่ ทั่วประเทศมีผู้เสียชีวิตไป 20 คนแล้ว รวมถึงนักดับเพลิง 3 คน โดยส่วนใหญ่เหตุเกิดที่นิวเซาท์เวลส์

ถ้านับรวมพื้นที่เสียหายในรัฐวิกตอเรียด้วย จะกินพื้นที่ถึงกว่า 4.8 หมื่น ตร.กม. หรือกว่า 30 ล้านไร่ นับแต่กรกฎาคม ปีที่แล้ว ไฟป่าลุกลามเร็วมากเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง มีกระแสลมแรง พร้อมด้วยภาวะภัยแล้งที่ดำเนินต่อเนื่องมานาน

People Also Search

ออสเตรเลียขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และหนึ่งในนั้นคือ "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำทั่วโลก แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า อีกฟากหนึ่งของออสเตรเลีย ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ยังมีขุมทรัพย์ใต้ทะเลที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน

ออสเตรเลียขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และหนึ่งในนั้นคือ "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำทั่วโลก แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า อีกฟากหนึ่งของออสเตรเลีย ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ยังมีขุมทรัพย์ใต้ทะเลที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน นั่นคือ "แนวปะการังนินกาลู" แนวปะการ...

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน แต่ความจริงก็คือสถิติความร้อนในทะเลทั้งหมดกำลังถูกทำลายลง พื้นผิวมหาสมุทรเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ และผลกระทบสามารถรู้สึกได้ในระดับโลก คลื่นความร้อนทางทะเลไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเท่านั้น บ่อยขึ้นและยาวนานขึ้นแต่ได้กลายเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน แต่ความจริงก็คือสถิติความร้อนในทะเลทั้งหมดกำลังถูกทำลายลง พื้นผิวมหาสมุทรเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ และผลกระทบสามารถรู...

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์การขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของสาหร่าย (algal Blooms) ได้คุกคามชายฝั่งตอนใต้ของออสเตรเลียอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศทางทะเล เพียงไม่กี่สัปดาห์และไม่กี่เดือนหลังจากนั้น สัตว์ทะเลจำนวนมากทั้งฉลาม กระเบน ม้าน้ำ

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์การขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของสาหร่าย (algal blooms) ได้คุกคามชายฝั่งตอนใต้ของออสเตรเลียอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศทางทะเล เพียงไม่กี่สัปดาห์และไม่กี่เดือนหลังจากนั้น สัตว์ทะเลจำนวนมากทั้งฉลาม กระเบน ม้าน้ำ และปลาหลากหลายสายพันธุ์ ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นที่ชายฝั่ง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยวและประม...

“สิ่งที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรของเราตอนนี้เหมือนกับการเกิดไฟป่าใต้น้ำ” เคท ควิกลีย์ นักวิจัยที่มูลนิธิมินเดอรู (Minderoo Foundation) ของออสเตรเลีย กล่าว โดยนอกจากแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟแล้ว คลื่นความร้อนใต้ท้องทะเลขนาดมหึมาที่แผ่ขยายไปทั่วโลกยังส่งผลกระทบต่อแนวปะการังที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกแห่งอื่นๆ

“สิ่งที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรของเราตอนนี้เหมือนกับการเกิดไฟป่าใต้น้ำ” เคท ควิกลีย์ นักวิจัยที่มูลนิธิมินเดอรู (Minderoo Foundation) ของออสเตรเลีย กล่าว โดยนอกจากแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟแล้ว คลื่นความร้อนใต้ท้องทะเลขนาดมหึมาที่แผ่ขยายไปทั่วโลกยังส่งผลกระทบต่อแนวปะการังที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกแห่งอื่นๆ ซึ่งรวมถึงแนวปะการังในทะเลแดง อินโดนีเซีย และเซเชลส์ด้วย มหาสมุทรเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่และเชื่อ...

ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate Change ทีมวิจัยได้เปิดเผยว่าในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 และ 2024 ที่ผ่านมานั้นมีวันที่เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 3.5

ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate Change ทีมวิจัยได้เปิดเผยว่าในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 และ 2024 ที่ผ่านมานั้นมีวันที่เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 240% เมื่อเทืยบกับสถิติเดิม การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ชีวิตต่าง ๆ ต้องดิ้นรนมากขึ้นทั้งในแนวปะการัง การประมง และชุมชนชายฝั่ง ในยุโรปนั้นคลื่นความร้อนในทะเลทำให้อุณหภูมิพื้นดินในหมู...