คลื่นความร้อนทางทะเลแผ่ปกคลุมพื้นที่มหาสมุทรใหญ่กว่าออสเตรเลียถึง 5

Leo Migdal
-
คลื่นความร้อนทางทะเลแผ่ปกคลุมพื้นที่มหาสมุทรใหญ่กว่าออสเตรเลียถึง 5

ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “คลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง” (super marine heat waves) “ระบบนิเวศทางทะเลไม่เคยเจอไม่เคยเจอคลื่นความร้อนทางทะเลระดับรุนแรง จนระดับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขนาดนี้มาก่อน” โบยิน ฮวง นักสมุทรศาสตร์จากสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติกล่าว วินาทีนี้อัตราเร่งที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 เพิ่มขึ้นอีก ล่าสุดรายงานสถานการณ์ภูมิอากาศในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ประจำปี 2024 โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) เผยว่า อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในปีที่ผ่านมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ คลื่นความร้อนทางทะเล (Marine Heatwave) กลืนกินพื้นที่มหาสมุทรกว่า 40 ล้านตารางกิโลเมตร หรือราว 15.4 ล้านตารางไมล์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของพื้นที่ผิวมหาสมุทรทั่วโลก เทียบได้กับขนาดของทวีปเอเชีย หรือใหญ่กว่ายุโรปและสหรัฐฯ ถึง 4 เท่า ขณะที่สื่อต่างประเทศเผยขนาดใหญ่กว่าประเทศออสเตรเลียถึง 5 เท่า...

โดยสาเหตุหลักมาจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) ซึ่งเป็นผลจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อนเรื้อรังที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ โดยในปีเดียวกันยังมีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) เกิดขึ้นถี่และรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วภูมิภาค รายงานยังระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติ (ช่วงปี 1991–2020) ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ขณะที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 4 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 3.5 มิลลิเมตรต่อปี โดย WMO ระบุว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเล โดยเฉพาะในพื้นที่แนวปะการัง Great Barrier Reef ของออสเตรเลีย ที่เกิดการฟอกขาวของปะการังครั้งใหญ่เป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปี 2016 ทำให้ปะการังจำนวนมากตายลง การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุณหภูมิน้ำทะเลยังสร้างความเครียดต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมาก ซึ่งหลายชนิดอาจต้องอพยพออกจากถิ่นที่อยู่ เผชิญกับการสูญพันธุ์ หรือในกรณี ปลาการ์ตูนหดตัวรับมือคลื่นความร้อน ซึ่งนักวิจัยชี้ว่าเป็นกลไกใหม่ในการปรับตัวต่อโลกร้อน ศาสตราจารย์เซเลสเต ซาอูโล เลขาธิการใหญ่ของ WMO เตือนว่าการเพิ่มขึ้นของความร้อนในมหาสมุทรและภาวะกรดในทะเล (Acidification) กำลังก่อให้เกิดความเสียหายระยะยาวต่อเศรษฐกิจท้องทะเลและสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทั่วทั้งภูมิภาค พร้อมชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลกำลังเป็นภัยคุกคามเชิง “การดำรงอยู่” ของประเทศหมู่เกาะหลายแห่งในแถบเอเชียแปซิฟิก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) รายงานว่า พบคลื่นความร้อนขนาดมหึมา ครอบคลุมพื้นที่ทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกเกือบ 40 ล้านตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าออสเตรเลียถึง 5 เท่า และมากกว่าไทยถึง 78 เท่า ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปี 2024 กลายเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์การเก็บข้อมูลอุณหภูมิยาวนาน 175 ปีของ WMO รายงานระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในปี 2024 เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และเป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ “สภาพอากาศสุดขั้ว” หลายกรณี เช่น ดินถล่มรุนแรงในฟิลิปปินส์ น้ำท่วมในออสเตรเลีย และธารน้ำแข็งละลายในอินโดนีเซีย

ปีนี้ยังทุบสถิติระดับน้ำทะเล โดยพบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเลในปี 2024 สูงเกือบ 4 มิลลิเมตรต่อปี มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 3.5 มิลลิเมตรต่อปีอย่างมีนัยสำคัญ โดยสาเหตุหลักมาจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก WMO ยังระบุว่า อุณหภูมิในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกในปี 2024 สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 1991–2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ศาสตราจารย์เซเลสเต ซาอูโล เลขาธิการ WMO กล่าวว่า ความร้อนและภาวะความเป็นกรดของมหาสมุทรร่วมกันก่อให้เกิด “ความเสียหายอย่างยาวนาน” ต่อระบบนิเวศทางทะเลและเศรษฐกิจ พร้อมเตือนว่า “ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อประเทศที่เป็นเกาะทั้งหมด” และเรากำลัง “หมดเวลาเปลี่ยนทิศลม” แนวปะการังนิงกาลู ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลีย เป็นแนวปะการังชายฝั่งที่ยาวที่สุดในโลก และมีระบบนิเวศทางทะเลที่โดดเด่นเฉพาะตัว ที่นี่เป็นแหล่งอาศัยของปะการังหลากสีสัน ปลาอีกนานาชนิด รวมถึงสัตว์ทะเลที่ถูกคุกคามอย่างฉลามวาฬ เต่าตนุ และวาฬปิ๊กมี่สีน้ำเงิน (pygmy blue whale) อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางฤดูหนาวของซีกโลกใต้มีรายงานระบุว่าพื้นที่แนวปะการังนิงกาลูที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ต้องเผชิญกับปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ความร้อนจากน้ำทะเลได้ทำลายสีสันสดใสของปะการังจนกลายเป็นสีขาวโพลน ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์การขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของสาหร่าย (algal blooms) ได้คุกคามชายฝั่งตอนใต้ของออสเตรเลียอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศทางทะเล เพียงไม่กี่สัปดาห์และไม่กี่เดือนหลังจากนั้น สัตว์ทะเลจำนวนมากทั้งฉลาม กระเบน ม้าน้ำ และปลาหลากหลายสายพันธุ์ ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นที่ชายฝั่ง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยวและประมงซึ่งพึ่งพาความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร ใต้ท้องทะเลที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาด้วยสาหร่ายทะเล ปะการัง และฟองน้ำ บัดนี้กลับกลายเป็นพื้นที่ที่ปราศจากชีวิต

อุณหภูมิที่สูงขึ้นของมหาสมุทรรอบออสเตรเลียนั้นก่อให้เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลอันสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ตัวการสำคัญของอุณหภูมิใต้ทะเลที่สูงขึ้นนี้คือการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล ความเสียหายจากหายนะทางสิ่งแวดล้อมครั้งนี้อาจมีมูลค่าสูงถึงหลายสิบล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมฟอสซิลในออสเตรเลียยิ่งเร่งเดินหน้าขยายการผลิตพลังงานถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล เพียงเพื่อผลกำไร การได้เดินจากชายหาดสู่ชายฝั่งแล้วปล่อยให้กระแสคลื่นพัดพาให้ล่องไปอย่างแผ่วเบาเหนือแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ คือหนึ่งในประสบการณ์ที่พิเศษที่สุดในชีวิตของฉัน และคงเป็นประสบการณ์ที่ชาวออสเตรเลียและนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนนิงกาลูต่างรู้สึกเหมือนกัน เพราะที่แห่งนี้คือแนวปะการังริมฝั่งที่ยาวที่สุดในโลก พบได้เพียงที่ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียเท่านั้น อุตุนิยมวิทยาเครือข่าย » อุตุนิยมวิทยา » การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อสมดุลทางนิเวศวิทยาของมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและชีวิตมนุษย์ แม้ว่าอาจดูเหมือนยากที่จะจินตนาการว่าแหล่งน้ำหนึ่งแห่งจะรักษาอุณหภูมิที่สูงไว้ได้นานหลายเดือน แต่ความจริงก็คือสถิติความร้อนในทะเลทั้งหมดกำลังถูกทำลายลง พื้นผิวมหาสมุทรเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ และผลกระทบสามารถรู้สึกได้ในระดับโลก คลื่นความร้อนทางทะเลไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเท่านั้น บ่อยขึ้นและยาวนานขึ้นแต่ได้กลายเป็นสัญญาณที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบอุณหภูมิของน้ำสูงถึง สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4ºC ในสถานที่เช่นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ห่างไกล เช่น ทะเลบาเลียริก หรือชายฝั่งอังกฤษ ตั้งแต่ปลายปี 2024 เป็นต้นไป ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกำลังเผชิญสถานการณ์วิกฤต ของความร้อนที่คงอยู่ใต้ผิวน้ำ ทะเลแห่งนี้ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าว อุณหภูมิกำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึงสองถึงสามเท่าและอัตราปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นเวลาสองทศวรรษ ในพื้นที่ของทะเลอัลโบรันหรือทะเลแบเลียริก ความผิดปกติซ้ำๆ เกิน 4ºC ความแตกต่างเมื่อเทียบกับค่าปกติ ในขณะที่ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น อุณหภูมิจะยังคงสูงกว่า 2 องศาเซลเซียส น้ำทะเลแคนตาเบรียนและมหาสมุทรแอตแลนติกก็ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้เช่นกัน เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 67%โดยเพิ่มขึ้น 0,25ºC ต่อทศวรรษ

การวอร์มอัพนี้แสดงถึง สัญญาณเตือนดาวเคราะห์มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจกได้มากกว่า 90% ทำหน้าที่เป็นตัวกันชนความร้อน หากปราศจากหน้าที่นี้ อุณหภูมิบนพื้นดินจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO รายงานว่า พบคลื่นความร้อนในทะเลครอบคลุมพื้นที่มหาศาล ที่ใหญ่กว่าประเทศออสเตรเลียถึง 5 เท่า #คลื่นความร้อน #ออสเตรเลีย #WMO #ทันโลกDAILY #เรื่องข่าวเรื่องใหญ่ #PPTVHD36 ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com และช่องทาง Social Media ------------------------------------------------------------------- === สมัครเป็นสมาชิกยูทูปเพื่อเข้าถึงสิทธิพิเศษต่างๆ === PPTV HD 36 : https://www.youtube.com/@PPTVHD36/join PPTV SPORTS : https://www.youtube.com/@PPTV_SPORTS/join ===================================== Facebook...

People Also Search

ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น

ในปี 2024 ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดจากวิกฤตการณ์สภาพอากาศ และทับซ้อนกับสภาพอากาศเลวร้าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991-2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของน้ำทะเลเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “คลื่นความร้อน” ผิดปรกติเกิดขึ้นในแอ่งมหาสมุทรหลักทั้งหมดทั่วโลก รุนแรงถึงขั้นที่นักวิทยาศา...

โดยสาเหตุหลักมาจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) ซึ่งเป็นผลจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อนเรื้อรังที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ โดยในปีเดียวกันยังมีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) เกิดขึ้นถี่และรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วภูมิภาค รายงานยังระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติ

โดยสาเหตุหลักมาจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) ซึ่งเป็นผลจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อนเรื้อรังที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ โดยในปีเดียวกันยังมีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) เกิดขึ้นถี่และรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วภูมิภาค รายงานยังระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติ (ช่วงปี 1991–2020) ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ขณะที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 4 มิลลิเ...

ปีนี้ยังทุบสถิติระดับน้ำทะเล โดยพบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเลในปี 2024 สูงเกือบ 4 มิลลิเมตรต่อปี มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 3.5 มิลลิเมตรต่อปีอย่างมีนัยสำคัญ โดยสาเหตุหลักมาจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก

ปีนี้ยังทุบสถิติระดับน้ำทะเล โดยพบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเลในปี 2024 สูงเกือบ 4 มิลลิเมตรต่อปี มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 3.5 มิลลิเมตรต่อปีอย่างมีนัยสำคัญ โดยสาเหตุหลักมาจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก WMO ยังระบุว่า อุณหภูมิในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกในปี 2024 สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 1991–2020 ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ศาสตราจารย์เซเลสเต ซาอูโล เลขาธิการ WMO กล่าวว่า ความร้อนและภาวะคว...

อุณหภูมิที่สูงขึ้นของมหาสมุทรรอบออสเตรเลียนั้นก่อให้เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลอันสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ตัวการสำคัญของอุณหภูมิใต้ทะเลที่สูงขึ้นนี้คือการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล ความเสียหายจากหายนะทางสิ่งแวดล้อมครั้งนี้อาจมีมูลค่าสูงถึงหลายสิบล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมฟอสซิลในออสเตรเลียยิ่งเร่งเดินหน้าขยายการผลิตพลังงานถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล เพียงเพื่อผลกำไร

อุณหภูมิที่สูงขึ้นของมหาสมุทรรอบออสเตรเลียนั้นก่อให้เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลอันสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ตัวการสำคัญของอุณหภูมิใต้ทะเลที่สูงขึ้นนี้คือการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล ความเสียหายจากหายนะทางสิ่งแวดล้อมครั้งนี้อาจมีมูลค่าสูงถึงหลายสิบล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมฟอสซิลในออสเตรเลียยิ่งเร่งเดินหน้าขยายการผลิตพลังงานถ่านหิน น้ำมัน...

การวอร์มอัพนี้แสดงถึง สัญญาณเตือนดาวเคราะห์มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจกได้มากกว่า 90% ทำหน้าที่เป็นตัวกันชนความร้อน หากปราศจากหน้าที่นี้ อุณหภูมิบนพื้นดินจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO รายงานว่า

การวอร์มอัพนี้แสดงถึง สัญญาณเตือนดาวเคราะห์มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจกได้มากกว่า 90% ทำหน้าที่เป็นตัวกันชนความร้อน หากปราศจากหน้าที่นี้ อุณหภูมิบนพื้นดินจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO รายงานว่า พบคลื่นความร้อนในทะเลครอบคลุมพื้นที่มหาศาล ที่ใหญ่กว่าประเทศออสเตรเลียถึง 5 เท่า #คลื่นความร้อน #ออสเตรเลีย #WMO #ทันโลกDAILY #เรื่องข่าวเรื่องใหญ...