มหาสมุทร ทั่วโลกร้อนจัด ขาดออกซิเจน เกิดภาวะทะเลเป็นกรด

Leo Migdal
-
มหาสมุทร ทั่วโลกร้อนจัด ขาดออกซิเจน เกิดภาวะทะเลเป็นกรด

8 มิถุนายน ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันทะเลโลก” หรือ “วันมหาสมุทรโลก” (World Ocean Day) ตามมติที่ 63/111 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2551 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยว กับความสำคัญของท้องทะเล และร่วมกันอนุรักษ์มหาสมุทร แต่ปัจจุบันสภาพมหาสมุทรของเรากำลังประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิสซูริค หรือ ETH Zurich ตีพิมพ์ใน AGU Advances พบว่า มหาสมุทรทั่วโลกกำลังเผชิญกับ “ภัยคุกคามใหญ่” ถึง 3 อย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น จากความร้อนจัด การสูญเสียออกซิเจน และความเป็นกรด สภาพอากาศสุดขั้วเริ่มรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา และสร้างความเครียดอย่างมหาศาลต่อสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลจำนวนมากทั่วโลก ปัจจุบันประมาณ 20% ของพื้นผิวมหาสมุทรในโลก มีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามทั้ง 3 ประการ ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล และการตัดไม้ทำลายป่า โดยช่วงบริเวณ 300 เมตรจากผิวน้ำจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โจเอล หว่อง นักวิจัยจาก ETH Zurich ผู้เขียนหลักของการศึกษานี้ เตือนว่ามหาสมุทรในโลกกำลังถูกผลักให้เข้าสู่สภาวะใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิมจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเรากำลังเผชิญหน้ากับผลกระทบของปรกฏการณ์นี้แล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยหว่องได้ยกตัวอย่างถึง “ก้อนความร้อน” (Heat Bolb) พื้นที่ความร้อนขนาดใหญ่เกิดขึ้นในมหาสมุทรที่ทำให้สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกต้องสูญพันธุ์ ภาวะดังกล่าวย่อมส่งผลต่อระบบนิเวศทางทะเลทั่วโลก แบบจำลองใหม่พบว่ามหาสมุทรความลึกระดับกลางซึ่งเป็นทรัพยากรทางทะเลสำคัญของอุตสาหกรรมประมงเริ่มเผชิญกับภาวะสูญเสียออกซิเจนในอัตราเร็วที่ผิดธรรมชาติ และพ้นปริมาณวิกฤติของการสูญเสียออกซิเจนในปี พ.ศ.

2564 มหาสมุทรมีออกซิเจนละลายในรูปของแก๊ส สัตว์น้ำก็ไม่ต่างจากสัตว์บกที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนในการหายใจ แต่ยิ่งมหาสมุทรอุ่นขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น้ำทะเลก็มีปริมาณออกซิเจนละลายได้น้อยลง นักวิทยาศาสตร์ติดตามการลดลงของออกซิเจนในมหาสมุทรต่อเนื่องหลายปี แต่งานวิจัยชิ้นใหม่นี้เน้นให้เห็นถึงเหตุผลที่เราควรกังวลและหาทางแก้ไขปัญหาก่อนที่จะสายเกินแก้ งานวิจัยชิ้นใหม่คืองานชิ้นแรกที่ใช้แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อทำนายภาวะการลดลงของออกซิเจนซึ่งหมายถึงปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำลดลงในมหาสมุทรทั่วโลกเกินกว่าวัฏจักรตามธรรมชาติ ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร ผลการวิจัยพบว่าการลดลงซึ่งไม่อาจฟื้นฟูได้ของปริมาณออกซิเจนในมหาสมุทร ณ ระดับความลึกระดับกลางซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลากหลายชนิดพันธุ์เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2564 และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมงทั่วโลก แบบจำลองใหม่นี้คาดว่าภาวะขาดออกซิเจนจะเริ่มส่งผลกระทบเป็นวงกว้างภายในปี พ.ศ. 2623 ผลการศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters

ความลึกระดับกลางของมหาสุมทร (ตั้งแต่ 200 เมตรถึง 1,000 เมตร) หรือที่เรียกว่าเขตสนธยา (mesopelagic zones) จะเป็นพื้นที่แรกซึ่งสูญเสียปริมาณออกซิเจนอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พื้นที่ดังกล่าวคือแหล่งอาศัยสำคัญของปลาเศรษฐกิจหลากชนิดพันธุ์ ความสูญเสียนั้นอาจส่งผลกระทบเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ การขาดแคลนอาหารทะเล และนิเวศทางทะเลที่ถูกทำลาย ไม่ใช่แค่ ‘ร้อนขึ้น’ แต่มหาสมุทรกำลังเผชิญภัยคุกคามหลายอย่างพร้อมกัน ทั้งความร้อน สูญเสียออกซิเจน และมีความเป็นกรดมากขึ้น งานวิจัยใหม่เผยข้อมูลที่น่าตกใจ พื้นที่มหาสมุทร 1 ใน 5 ของโลกมีภัยพิบัติที่รุนแรงกว่าปี 1960 ถึง 6 เท่า ท่ามกล่างวิกฤตสภาพอากาศที่โถมกระหน่ำโลก และผู้ได้รับผลกระทบมากสุดคือมหาสมุทรของเรา มันเป็นสถานที่ที่คอยรองรับทุกอย่างทั้งความร้อนจากดวงอาทิตย์ ก๊าซเรือนกระจก และมลพิษจำนวนมากที่เราลักลอบปล่อยลงทะเล ผลกระทบจากสิ่งเหล่านั้นกำลังค่อย ๆ เผยออกมาให้เราเห็นแล้ว งานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่ในวารสาร AGU Advances ได้ทำการวิเคราะห์ปัญหาหลัก 3 ประการของมหาสมุทรได้แก่ ความร้อน ปริมาณออกซิเจน และความเป็นกรด พวกเขาพบว่าทะเลทั่วโลกกำลังเผชิญภัยคุกคามดังกล่าว และราว 1 ใน 5 จากมหาสมุทรทั้งหมดกำลังเจอปัญหา 3 อย่างนี้พร้อมกันโดยมีความรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยมา “เราเริ่มได้เห็นและได้สัมผัสถึงผลกระทบของสิ่งนี้แล้ว” Joel Wong นักวิจัยจาก สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิสในซูริก (ETH Zurich) กล่าว เขาได้อ้างถึงปรากฏารณ์ ‘ก้อนความร้อน’ (Heat Blob) ซึ่งเป็นพื้นที่ความร้อนขนาดใหญ่เกิดขึ้นในมหาสมุทร “เหตุการณ์สุดขั้วที่รุนแรงเช่นนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต และจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและการประมงทั่วโลก” เป็นที่ทราบกันดีว่าภัยคุกคาม 3 ประการดังกล่าวนั้นเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลัก ทั้งการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล และการตัดไม้ทำลายป่า งานวิจัยระบุว่าปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นและกินเวลานานกว่าช่วงต้นทศวรรษปี 1960 ถึง 3 เท่า และมีความรุนแรงกว่าถึง 6 เท่า

องค์กร Corpernicus ออกรายงาน Ocean State Report ปีที่ 9 เพื่อติดตามดูสถานะและความเป็นอยู่ของสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำใต้ท้องทะเล โดยพื้นท้องทะเลและมหาสมุทรมีหน้าที่เป็นเครื่องรับแรงปะทะธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการดูดรับความร้อนและช่วยปรับสมดุลสภาพภูมิอากาศ แต่ขณะนี้ ไม่มีที่ไหนในท้องทะเลหรือมหาสมุทรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ United Nation ใช้คำว่า Triple Planetary Crisis เพื่ออธิบายถึงสภาพแวดล้อมที่โลกต้องเผชิญอยู่อย่างสาหัส โดยมีสามสิ่งที่กำลังส่งผลกระทบต่อมหาสมุทรอย่างมากคือ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และมลพิษ (Pollution) หลายปัจจัยสร้างความแปรปรวนให้ท้องทะเลและมหาสมุทร ความไม่ปกติเหล่านั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ทะเล Mediterranean เจอกับคลื่นความร้อน (Marine heatwave) ที่มีสถิติยาวนานที่สุด อุณหภูมิน้ำทะเลในช่วงนั้นสูงกว่าระดับปกติถึง 4.3°C ในระหว่างเดือนพ.ค. ปี 2022 จนถึงต้นปี 2023 หรือจะเป็นระดับน้ำทะเลทั่วโลกที่สูงขึ้น 23 ซ.ม. ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1901 ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงให้กับพื้นที่และเศรษฐกิจชายฝั่ง แต่ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงทำให้พลาสติกไหลลงทะเลมากขึ้น

ความไม่สมดุลต่างๆ ยังทำให้ค่าความเป็นกรดในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วง 39 ปีที่ผ่านมา และประมาณ 10% ของพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพกำลังเผชิญกับสภาวะความเป็นกรดของทะเลในอัตราที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลก นอกจากนี้ โลกยังเจอกับปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวทั่วโลกครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ. 2024 นับจากครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 ซึ่งตอนนี้มี 44% ของสายพันธุ์ปะการังที่ถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์ ออกซิเจน โมเลกุลสำคัญที่สิ่งมีชีวิตหายใจเข้าไปเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการสร้างพลังงาน ซึ่งเรามักเรียนรู้ว่าออกซิเจนเหล่านั้นเกิดจากต้นไม้หรือพืชใบเขียวที่ทำการสังเคราะห์แสงจนได้อากาศสดชื่นนี้ออกมา แต่อันที่จริงแล้ว ป่าฝนอย่างแอมะซอน ไม่ได้เป็นปอดของโลกที่แท้จริง ผู้ที่สมควรได้รับคำขอบคุณก็คือแบคทีเรียในมหาสมุทรและเหล่าแพลงก์ตอนพืชตามผิวน้ำที่เป็นผู้ผลิตออกซิเจนรายใหญ่ของโลกซึ่งมากถึงร้อยละ 60-80 ของออกซิเจนในชั้นบรรยากาศทั้งหมด สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้สังเคราะห์แสงและสร้างอาหารหล่อเลี้ยงทั้งชีวิตในน้ำและชีวิตบนแผ่นดิน

“สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตหลักที่สำคัญมาก” ฟรองซัวส์ ริบาเลต์ (François Ribalet) รองศาสตราจารย์วิจัยประจำคณะสมุทรศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน และผู้เขียนงานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Microbiology กล่าว โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่า โปรคลอโรค็อกคัส (Prochlorococcus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียในกลุ่มไซยาโนแบคทีเรีย และได้ฉายาว่าเครื่องผลิตออกซิเจนระดับจิ๋ว โดยเชื่อว่ามีอยู่มากกว่า 3 × 10²⁷ เซลล์ในมหาสมุทร มีการประเมินกันว่าแค่โปรคลอโรค็อกคัสเพียงอย่างเดียวก็ผลิตออกซิเจนประมาณร้อยละ 20 ของออกซิเจนทั้งหมด หรือเปรียบง่าย ๆ ว่า ‘ทุก ๆ 5 ลมหายใจที่หายใจเข้านั้น เป็นหนึ่งลมหายใจที่มาจาก โปรคลอโรค็อกคัส ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ริบาเลตกล่าวว่า พวกมันเปลี่ยนแสงอาทิตย์และคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นอาหารที่ฐานของระบบนิเวศทางทะเล ในฐานะมูลนิธิชุมชนแห่งเดียวสำหรับมหาสมุทร ภารกิจของ The Ocean Foundation คือการปรับปรุงสุขภาพของมหาสมุทรทั่วโลก ความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจสีน้ำเงิน เราสร้างความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงผู้คนทุกคนในชุมชนที่เราทำงานเข้ากับทรัพยากรข้อมูล เทคนิค และการเงินที่พวกเขาต้องการเพื่อบรรลุเป้าหมายการดูแลมหาสมุทร ค้นหาวิธีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอนุรักษ์มหาสมุทร เพราะมหาสมุทรต้องการความทุ่มเทและทรัพยากรทั้งหมดของเรา เรามีบล็อกโพสต์และจดหมายข่าวที่เขียนโดยพนักงานและชุมชนของเรา ข่าวเด่น ข่าวประชาสัมพันธ์ และคำขอเสนอ

เรามุ่งมั่นแสวงหาความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเกี่ยวกับปัญหามหาสมุทร ในฐานะมูลนิธิชุมชน เราให้ศูนย์ความรู้เป็นทรัพยากรฟรี เรียนรู้เกี่ยวกับไฟล์ #จดจำมหาสมุทร การรณรงค์ด้านสภาพอากาศ รายงานล่าสุดจากศูนย์พลังงานและวัสดุของ World Economic Forum (WEF) ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับภาวะ "มหาสมุทรเป็นกรด" (Ocean Acidification) ซึ่งขณะนี้ได้เข้าสู่ระดับอันตรายอย่างยิ่งยวด โดยได้ก้าวข้าม "ขีดจำกัดของดาวเคราะห์" (planetary boundary) ที่สำคัญไปแล้ว ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยร้ายแรงต่อสุขภาพของมหาสมุทรทั่วโลกและสิ่งมีชีวิตนับล้านที่อาศัยอยู่ในนั้น ภาวะมหาสมุทรเป็นกรด คือกระบวนการที่มหาสมุทรดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ส่วนเกินจากชั้นบรรยากาศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและกิจกรรมของมนุษย์อื่น ๆ เมื่อ CO2 ละลายในน้ำทะเล จะเกิดปฏิกิริยาเคมีที่เพิ่มความเป็นกรดของน้ำ โดยลดค่า pH ของน้ำทะเลลง การเปลี่ยนแปลงค่า pH เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศทางทะเลทั้งหมด นักวิทยาศาสตร์จาก Plymouth Marine Laboratory ในสหราชอาณาจักร และ National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำในการศึกษาครั้งสำคัญนี้ ได้ค้นพบว่าขีดจำกัดวิกฤตดังกล่าวได้ถูกละเมิดไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก พวกเขาเน้นย้ำว่านี่ไม่ใช่ปัญหาในอนาคต แต่เป็น "ระเบิดเวลา" ที่กำลังเดินหน้าและส่งผลกระทบอยู่ในขณะนี้ การเพิ่มขึ้นของความเป็นกรดในมหาสมุทรส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งมีชีวิตที่มีเปลือกหรือโครงสร้างที่เป็นหินปูน เช่น ปะการัง หอย ปู และแพลงก์ตอนหอย ความเป็นกรดที่เพิ่มขึ้นทำให้การสร้างและรักษาเปลือกเหล่านี้ยากขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อห่วงโซ่อาหารทั้งหมด ปะการังฟอกขาวและตายลง ทำให้ระบบนิเวศแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำนับล้านถูกทำลาย

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของน้ำยังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของปลาหลายชนิด ความสามารถในการนำทาง การหาอาหาร และการสืบพันธุ์ของปลาอาจลดลง ทำให้เกิดความไม่สมดุลในระบบนิเวศ และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมงซึ่งเป็นแหล่งอาหารและรายได้ที่สำคัญของประชากรโลกหลายล้านคน

People Also Search

8 มิถุนายน ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันทะเลโลก” หรือ “วันมหาสมุทรโลก” (World Ocean Day)

8 มิถุนายน ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันทะเลโลก” หรือ “วันมหาสมุทรโลก” (World Ocean Day) ตามมติที่ 63/111 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2551 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยว กับความสำคัญของท้องทะเล และร่วมกันอนุรักษ์มหาสมุทร แต่ปัจจุบันสภาพมหาสมุทรของเรากำลังประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิสซูริค หรือ ETH Zurich ตีพิมพ์ใน AGU Advance...

2564 มหาสมุทรมีออกซิเจนละลายในรูปของแก๊ส สัตว์น้ำก็ไม่ต่างจากสัตว์บกที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนในการหายใจ แต่ยิ่งมหาสมุทรอุ่นขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น้ำทะเลก็มีปริมาณออกซิเจนละลายได้น้อยลง นักวิทยาศาสตร์ติดตามการลดลงของออกซิเจนในมหาสมุทรต่อเนื่องหลายปี แต่งานวิจัยชิ้นใหม่นี้เน้นให้เห็นถึงเหตุผลที่เราควรกังวลและหาทางแก้ไขปัญหาก่อนที่จะสายเกินแก้ งานวิจัยชิ้นใหม่คืองานชิ้นแรกที่ใช้แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อทำนายภาวะการลดลงของออกซิเจนซึ่งหมายถึงปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำลดลงในมหาสมุทรทั่วโลกเกินกว่าวัฏจักรตามธรรมชาติ ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร ผลการวิจัยพบว่าการลดลงซึ่งไม่อาจฟื้นฟูได้ของปริมาณออกซิเจนในมหาสมุทร

2564 มหาสมุทรมีออกซิเจนละลายในรูปของแก๊ส สัตว์น้ำก็ไม่ต่างจากสัตว์บกที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนในการหายใจ แต่ยิ่งมหาสมุทรอุ่นขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น้ำทะเลก็มีปริมาณออกซิเจนละลายได้น้อยลง นักวิทยาศาสตร์ติดตามการลดลงของออกซิเจนในมหาสมุทรต่อเนื่องหลายปี แต่งานวิจัยชิ้นใหม่นี้เน้นให้เห็นถึงเหตุผลที่เราควรกังวลและหาทางแก้ไขปัญหาก่อนที่จะสายเกินแก้ งานวิจัยชิ้นใหม่คืองานชิ้นแรกที่ใช้แบบจำลอ...

ความลึกระดับกลางของมหาสุมทร (ตั้งแต่ 200 เมตรถึง 1,000 เมตร) หรือที่เรียกว่าเขตสนธยา (mesopelagic Zones) จะเป็นพื้นที่แรกซึ่งสูญเสียปริมาณออกซิเจนอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความลึกระดับกลางของมหาสุมทร (ตั้งแต่ 200 เมตรถึง 1,000 เมตร) หรือที่เรียกว่าเขตสนธยา (mesopelagic zones) จะเป็นพื้นที่แรกซึ่งสูญเสียปริมาณออกซิเจนอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พื้นที่ดังกล่าวคือแหล่งอาศัยสำคัญของปลาเศรษฐกิจหลากชนิดพันธุ์ ความสูญเสียนั้นอาจส่งผลกระทบเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ การขาดแคลนอาหารทะเล และนิเวศทางทะเลที่ถูกทำลาย ไม่ใช่แค่ ‘ร้อนขึ้น’ แต่มหาสมุทรกำลังเผชิญภัยค...

องค์กร Corpernicus ออกรายงาน Ocean State Report ปีที่ 9 เพื่อติดตามดูสถานะและความเป็นอยู่ของสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำใต้ท้องทะเล โดยพื้นท้องทะเลและมหาสมุทรมีหน้าที่เป็นเครื่องรับแรงปะทะธรรมชาติ

องค์กร Corpernicus ออกรายงาน Ocean State Report ปีที่ 9 เพื่อติดตามดูสถานะและความเป็นอยู่ของสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำใต้ท้องทะเล โดยพื้นท้องทะเลและมหาสมุทรมีหน้าที่เป็นเครื่องรับแรงปะทะธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการดูดรับความร้อนและช่วยปรับสมดุลสภาพภูมิอากาศ แต่ขณะนี้ ไม่มีที่ไหนในท้องทะเลหรือมหาสมุทรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ United Nation ใช้คำว่า Triple Planetary Crisis เพื่ออธิบ...

ความไม่สมดุลต่างๆ ยังทำให้ค่าความเป็นกรดในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วง 39 ปีที่ผ่านมา และประมาณ 10% ของพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพกำลังเผชิญกับสภาวะความเป็นกรดของทะเลในอัตราที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลก นอกจากนี้

ความไม่สมดุลต่างๆ ยังทำให้ค่าความเป็นกรดในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วง 39 ปีที่ผ่านมา และประมาณ 10% ของพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพกำลังเผชิญกับสภาวะความเป็นกรดของทะเลในอัตราที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลก นอกจากนี้ โลกยังเจอกับปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวทั่วโลกครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ. 2024 นับจากครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 ซึ่งตอนนี้มี 44% ของสายพันธุ์ปะการังที่ถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์ ออกซิเ...