ย้อนรอย 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนสตาร์ทอัพไทย มี เหตุการณ์ อะไร
ประเทศไทยมีความเคลื่อนไหวในธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงปี 2559 จนถึงปี 2567 บางรายประสบความสำเร็จระดับการเกิดยูนิคอร์น การเกิดธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ และส่งเสริมภาพลักษณ์การลงทุนดึงดูดทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าร่วมทำธุรกิจมากขึ้น และธุรกิจสตาร์ทอัพ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ให้การส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพตั้งแต่แรกเริ่ม ย้อนรอยเส้นทางสตาร์ทอัพ จากเมื่อปี 2559 ที่ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยเริ่มก่อตัวขึ้น จากการมีจำนวนสตาร์ทอัพเพียงไม่กี่ราย และมีหน่วยงานให้การสนับสนุนด้านการลงทุนเฉพาะกลุ่ม จำกัดแค่บางอุตสาหกรรมเท่านั้น โดยสตาร์ทอัพเริ่มมีกระแสในช่วงปี 2560 โดยกรุงเทพฯ ถูกจัดให้เป็นเมืองสตาร์ทอัพที่ดีที่สุด ต่อมาปี 2561 มีจำนวนสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1,500 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Fintech และ Lifestyle เป็นหลัก ปี 2562 ธุรกิจ Pomelo ได้รับการลงทุน Series C ด้วยมูลค่า 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจุดประกายและช่วยยืนยันว่าสตาร์ทอัพไทยมีความพร้อมที่จะเติบโตไปได้อีกขั้น ขณะที่ปี 2563 การระบาดของโควิด – 19 เป็นตัวแปรให้ Tech Startup เติบโตในหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นภาคการขนส่ง เดลิเวอรี่ การแพทย์ อีคอมเมิร์ซ เกษตร ถัดมาปี 2564 ไทยมียูนิคอร์นที่เกิดขึ้นถึง 2 ราย คือ Flash Express และ Ascend Money ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนในตลาดถึง 310.58 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในปี 2565 เริ่มมีการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเชิงลึกมากขึ้น ภาครัฐออกหลักเกณฑ์และกฎหมายอำนวยความสะดวกให้การประกอบธุรกิจของสตาร์ทอัพมีมากขึ้น ภาคการศึกษามีโครงการบ่มเพาะและการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมให้เกิดสตาร์ทอัพหน้าใหม่ รวมถึงกรุงเทพฯ... ประเด็นแรกการเพิ่มจำนวนของ University Holding Company หรือหน่วยธุรกิจที่เกิดขึ้นจากสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคการศึกษาของไทย มีการขานรับในการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อต่อยอดนำผลงานออกไปจัดตั้งบริษัท เช่น มีการเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรม การเร่งสร้างผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทให้ได้จำนวน 1,000 บริษัท และการสร้าง 5 บริษัทผู้ประกอบการไทยที่จะมีขีดความสามารถในการแข่งขันไปถึงระดับโลก นอกจากนี้ยังเห็นการเพิ่มหลักสูตรบ่มเพาะความเป็นผู้ประกอบการขึ้นมาตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย มุ่งเน้นขยายการเติบโตไปสู่เชิงพาณิชย์ รวมถึงยังมีคอร์สพิเศษสำหรับผู้สนใจแสวงหาความรู้ ประเด็นต่อมาคือการเปลี่ยนแปลงสตาร์ทอัพในรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกหรือ “DeepTech” ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 65 บริษัทภายในเวลา 3 ปี และเกิดการรวมกลุ่มเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในการส่งเสริมและเป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศทั้งหมดรวมถึง ความร่วมมือในการจัดผังกลุ่มเครือข่าย (Mapping) ที่ชัดเจน เพื่อเป็นภาพรวมให้นักลงทุนเห็นโอกาสการเข้ามาสนับสนุนอีกด้วย “Deep Tech Startup ไทย มีศักยภาพและความสามารถมาก เพียงแต่ยังต้องการการบริหารจัดการและการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งไม่ใช่การบริหารจัดการทั่วไป แต่เป็นการจัดการให้อยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า Accelerator Platform ที่จะเร่งทุกอย่างให้เร็วขึ้น และเป็น Navigator สำคัญที่จะนำพางานวิจัยจากห้องปฏิบัติการไปสู่เชิงพาณิชย์ ” นายธงชัย สุวรรณสิชณน์ ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าว
Accelerator Platform ช่วยขยายขนาดการผลิตของ Deep Tech Startup ในระดับอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และไปสู่ตลาดโลกได้ 5 ปีที่ผ่านมา บพข. ได้สนับสนุนทุนไปแล้วกว่า 250 ล้านบาท ในการสร้าง Accelerator Platform ให้กับหน่วยงานวิจัยและมหาวิทยาลัยจำนวน 10 แห่ง รวม 12 platforms และมี Deep Tech Startup ช่วง early stage มากกว่า 90 บริษัท ที่ได้รับการพัฒนาจากโครงการดังกล่าว โดยมีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมออกสู่ตลาดแล้วกว่า 90 รายการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วกว่า 965 ล้านบาท ที่ผ่านมา บพข.ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการบริหารจัดการทุนวิจัยของประเทศ ได้มุ่งสร้างระบบบริหารจัดการที่ดี เพื่อให้การวิจัยและพัฒนาของประเทศไปสู่เชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะมีกลไกต่าง ๆ ในการยกระดับสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทยที่มีศักยภาพ ทำให้เกิดธุรกิจใหม่หรืออุตสาหกรรมใหม่ การทำงานในทุกแผนงาน จะเน้นย้ำใน 4 เรื่องหลักคือ 1. Connection ความเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อลดช่องว่างของการทำงานวิจัย 2.
Collaboration การทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการนำวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง 3. การสร้าง Innovation Platform เพื่อเร่งและขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 4.การสร้างเครือข่ายในการทำงานร่วมกัน ซึ่งมีความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) จากความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจสหรัฐฯ และจีน สู่การแบ่งขั้วของเศรษฐกิจโลก (Decoupling) ที่ทำให้ประเทศต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่พึ่งพาการลงทุนโดยตรงจากทั้งสองประเทศ ต้องเลือกข้างไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เพื่อความอยู่รอด การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ ทำให้ขณะนี้บริษัททั่วโลกในหลายอุตสาหกรรม เร่งปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่ เพื่อกระจายความเสี่ยง ลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่มอาเซียน รวมถึงไทย ที่กลายเป็นที่จับจ้องของนักลงทุนต่างชาติในการย้ายฐานการลงทุน แม้ไทยจะมีความได้เปรียบเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการลงทุน มากกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน แต่ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย ก็พัฒนาจุดแข็งด้านทักษะแรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงนโยบายดึงดูดการลงทุนจากภาครัฐ จนนำหน้าไทยในหลายด้าน และเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องร่วมกันหาคำตอบว่า “ไทย” ยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากแค่ไหนในเวทีโลก Thairath Money พาส่องการเติบโต FDI ในไทย ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา แนวโน้มเปลี่ยนไปอย่างไร อุตสาหกรรมอะไรที่ครองใจนักลงทุนต่างชาติ และประเทศไหนลงทุนในไทยมากที่สุด
จากการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ระหว่างปี 2561-2565 พบว่า มูลค่าเงินลงทุนสุทธิโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI Netflow) โดยอ้างอิงสถิติธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งครอบคลุมข้อมูลธุรกรรมต่างประเทศทุกภาคเศรษฐกิจที่เข้ามาลงทุนในไทยทั้งหมด ประเทศไทยติดอันดับ 3 เมือง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต ใน 1,000 อันดับแรกของโลกในระบบนิเวศสตาร์ทอัพ (Global Startup Ecosystems) โดยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ นักวิจัยจาก StartupBlink ระบุว่าระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางสตาร์ทอัพที่น่าสนใจในอนาคต อย่างไรก็ตาม ระบบนิเวศในปัจจุบันยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นและต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืน ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้พัฒนาเศรษฐกิจผ่านการปฏิรูปและนวัตกรรมทางสังคม แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับการยอมรับในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก แต่ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ได้กระตุ้นภาครัฐหันมาส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต แม้จะยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่ความพยายามเหล่านี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของระบบนิเวศในประเทศ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังดึงดูดกลุ่ม “Digital Nomads” หรืออาชีพที่สามารถทำงานได้จากทุกที่ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งได้รับความนิยมในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ด้วยนโยบายใหม่ที่สร้างสรรค์ ภาครัฐสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้และความสามารถของกลุ่มนี้ โดยตั้งเป้าสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่นและต่างชาติ เพื่อพัฒนาโครงการที่เชื่อมโยงและใช้ประโยชน์จากแรงงานไทย ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี พร้อมค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจที่ไม่สูงนัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพ นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นยูนิคอร์น ซึ่งล้วนมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น ความสำเร็จของยูนิคอร์นเหล่านี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสตาร์ทอัพไทยในตลาดโลก แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ พร้อมทั้งดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้าสู่ตลาดไทย เสริมสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพของประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
การระดมทุนของสตาร์ทอัพไทยในปี 2023 ลดลงจากปี 2022 อย่างเห็นได้ชัด ทั้งในด้านของจำนวนดีลและมูลค่าการลงทุน โดยมีทั้งหมด 24 ดีล (โดยบางดีลเป็นบริษ้ทในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ของไทย) ลดลงเกือบเท่าตัวจาก 42 ดีลในปี 2022 ขณะที่เม็ดเงินการลงทุนลดลงจาก 568.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 20,188 ล้านบาท) เหลือ 521.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18,506.15 ล้านบาท ดังที่มีการเปิดเผยข้อมูล ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงอะไร มีธุรกิจในอุตสาหกรรมไหนบ้างที่โดดเด่นจนเข้าตานักลงทุนในปีที่ผ่านมา Techsauce สรุปภาพรวมและวิเคราะห์แนวโน้มในปี 2024 มาให้แล้ว จาก 24 ดีล (ที่มีการเปิดเผยข้อมูล) แบ่งเป็นธุรกิจ 12 ประเภท ดังนี้ 24X ภายใต้ ทเวนตี้โฟร์ โซลูชั่น กรุ๊ป บริษัทสตาร์ทอัพผู้ให้บริการด้านการซ่อม สร้าง ติดตั้ง ต่อเติมผ่านเทคโนโลยีแบบ digital on-demand ให้กับทั้งลูกค้าภาคธุรกิจและ ลูกค้าบุคคล ระดมทุนรอบซีรีส์ เอ มูลค่ากว่า 150 ล้านบาท (ราว 4.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ) ผ่านความร่วมมือกับสามพันธมิตร ‘กรุงศรี ฟินโนเวต, อีซีจี เวนเจอร์ แคปปิตัล และบริษัท บีซีเอช เวนเจอร์ส จำกัด (BCH Ventures)... อ่านข่าว : https://techsauce.co/news/24x-group-raised-fund-series-a เสียงเตือนถึงอนาคตสตาร์ตอัพไทยดังขึ้น หลังการรับรู้ในเวทีภูมิภาคซบเซา ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐระดมสมองในงาน THAI STARTUP DAY 2025 ชี้เป้าปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ พร้อมอัดฉีดกลไกสนับสนุนชุดใหม่ หวังพลิกเกมขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก
ประเด็นสำคัญนี้ถูกจุดประกายขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าสตาร์ตอัพไทยดูเหมือนจะ “หายไปจากเรดาร์” ในงานเสวนาระดับภูมิภาค โดยการอภิปรายได้มุ่งเน้นไปที่การที่สตาร์ตอัพไทยได้รับการกล่าวถึงน้อยลง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยี (Tech Hub) อินโดนีเซียที่ถูกมองว่าเป็นตลาดดาวรุ่ง (Next China) หรือฟิลิปปินส์ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตลาดที่เติบโตตามมา (Next Indonesia) ไปยดา หาญชัยสุขสกุล ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากจำนวนสตาร์ตอัพไทยในกลุ่มเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ที่ยังมีสัดส่วนน้อย ประกอบกับช่องว่างในการนำผลงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) สตาร์ตอัพไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน (Application) มากกว่าการมุ่งเน้นเทคโนโลยีแกนหลัก ซึ่งอาจส่งผลต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ไปยดากล่าวว่า สตาร์ตอัพไม่จำเป็นต้องเป็น Deep Tech เสมอไป หากมีคุณค่า (Value) และศักยภาพในการขยายสู่ตลาดโลก (Global Platform) ก็สามารถเป็นจุดแข็งได้ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle-Income Trap) ซึ่งการจะก้าวข้ามได้ต้องอาศัยแบรนด์ที่แข็งแกร่งหรือนวัตกรรมระดับสูง ดร.ชินาวุธกล่าวว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ “ความเสี่ยง” (Risk) ทั้งในมิติของ “ทุนที่พร้อมรับความเสี่ยง” (Risk Capital) ที่ยังไม่เพียงพอ และกรอบความคิดของสังคมและภาครัฐที่ยังคง “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” (Risk Averse) ขาดความเข้าใจในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีพอ ดังเช่นทัศนคติ “เงินรัฐตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” หรือความกังวลต่อการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวว่า การรับรู้ต่อสตาร์ตอัพไทยในระดับภูมิภาคที่ต่ำนั้นเป็นปัญหาที่มีมานาน ประเทศไทยมักถูกมองว่า “ดีแต่ยังไม่ถึงที่สุด” คือมีตลาดที่ใหญ่พอสำหรับการเริ่มต้น แต่เล็กเกินไปสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปริวรรตได้ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ใช้ตลาดทุนนำ มีการใช้ Matching Fund ในสัดส่วน 7 ต่อ 3 เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Venture Capital อย่างจริงจัง ขณะที่อินโดนีเซียมีตลาดภายในขนาดใหญ่ แม้จะมีความสนใจจากต่างชาติ แต่อุปสรรค (Barrier) บางประการยังคงอยู่ ทำให้เกิดสภาวะ “ไก่กับไข่” ที่การขาดการยอมรับในระดับสากล (International Presence)...
People Also Search
- ย้อนรอย 5 ปีที่ผ่านมา "มูลค่าการลงทุนสตาร์ทอัพไทย" มี 'เหตุการณ์' อะไร ...
- ย้อนรอย7ปีสตาร์ทอัพไทย ส่องอนาคตแววรุ่งปี67
- 5 ปี ดีพเทค สตาร์ทอัพไทย กว่า 90 ราย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจเกือบพันล.
- ส่องการเติบโต Fdi 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอะไร ประเทศไหนลงทุนเยอะสุด
- สรุปภาพรวมการเติบโตและโอกาสของสตาร์ทอัพไทย ปี 2024
- สตาร์ตอัพไทย..ยังอยู่ดีมั้ย บทบาทภาครัฐคือคำตอบ ยังมีอุปสรรคข้างหน้า ...
- สรุปภาพรวมสตาร์ทอัพไทยปี 2023 ปิด 24 ดีล มูลค่ากว่า 1.85 หมื่นล้านบาท
- อนาคตสตาร์ตอัพไทย? รัฐเร่งเครื่อง ปรับกลยุทธ์-อัดฉีดทุน
- เหลียวหลังแลหน้า สตาร์ทอัพไทยปี 2563 (ตอนที่ 1)
- จับตาสตาร์ทอัพไทยบินไกลไต่ระดับสูง กับแนวทางเร่งสมรรถภาพสตาร์ทอัพด้วย ...
ประเทศไทยมีความเคลื่อนไหวในธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงปี 2559 จนถึงปี 2567 บางรายประสบความสำเร็จระดับการเกิดยูนิคอร์น การเกิดธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ และส่งเสริมภาพลักษณ์การลงทุนดึงดูดทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าร่วมทำธุรกิจมากขึ้น และธุรกิจสตาร์ทอัพ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
ประเทศไทยมีความเคลื่อนไหวในธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงปี 2559 จนถึงปี 2567 บางรายประสบความสำเร็จระดับการเกิดยูนิคอร์น การเกิดธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ และส่งเสริมภาพลักษณ์การลงทุนดึงดูดทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าร่วมทำธุรกิจมากขึ้น และธุรกิจสตาร์ทอัพ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ให้การส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพตั้งแต่แรกเริ่ม ย้อนร...
Accelerator Platform ช่วยขยายขนาดการผลิตของ Deep Tech Startup ในระดับอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และไปสู่ตลาดโลกได้ 5
Accelerator Platform ช่วยขยายขนาดการผลิตของ Deep Tech Startup ในระดับอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และไปสู่ตลาดโลกได้ 5 ปีที่ผ่านมา บพข. ได้สนับสนุนทุนไปแล้วกว่า 250 ล้านบาท ในการสร้าง Accelerator Platform ให้กับหน่วยงานวิจัยและมหาวิทยาลัยจำนวน 10 แห่ง รวม 12 platforms และมี Deep Tech Startup ช่วง early stage มากกว่า 90 บริษัท ที่ได้รับการพัฒนาจากโครงการดังกล่าว โดยมีผลิตภัณฑ์นวัตกรรม...
Collaboration การทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการนำวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง 3. การสร้าง Innovation Platform เพื่อเร่งและขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 4.การสร้างเครือข่ายในการทำงานร่วมกัน
Collaboration การทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการนำวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง 3. การสร้าง Innovation Platform เพื่อเร่งและขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 4.การสร้างเครือข่ายในการทำงานร่วมกัน ซึ่งมีความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) จากความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจสหรัฐฯ และจีน สู่การแบ่งขั้วของเศรษฐกิจโลก (Decoupl...
จากการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ระหว่างปี 2561-2565 พบว่า มูลค่าเงินลงทุนสุทธิโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI Netflow) โดยอ้างอิงสถิติธนาคารแห่งประเทศไทย
จากการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ระหว่างปี 2561-2565 พบว่า มูลค่าเงินลงทุนสุทธิโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI Netflow) โดยอ้างอิงสถิติธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งครอบคลุมข้อมูลธุรกรรมต่างประเทศทุกภาคเศรษฐกิจที่เข้ามาลงทุนในไทยทั้งหมด ประเทศไทยติดอันดับ 3 เมือง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต ใน 1,000 อันดับแรกของโลกในระบบนิเวศสตาร์ทอัพ (Global Startup...
การระดมทุนของสตาร์ทอัพไทยในปี 2023 ลดลงจากปี 2022 อย่างเห็นได้ชัด ทั้งในด้านของจำนวนดีลและมูลค่าการลงทุน โดยมีทั้งหมด 24 ดีล (โดยบางดีลเป็นบริษ้ทในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ของไทย)
การระดมทุนของสตาร์ทอัพไทยในปี 2023 ลดลงจากปี 2022 อย่างเห็นได้ชัด ทั้งในด้านของจำนวนดีลและมูลค่าการลงทุน โดยมีทั้งหมด 24 ดีล (โดยบางดีลเป็นบริษ้ทในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ของไทย) ลดลงเกือบเท่าตัวจาก 42 ดีลในปี 2022 ขณะที่เม็ดเงินการลงทุนลดลงจาก 568.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 20,188 ล้านบาท) เหลือ 521.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18,506.15 ล้านบาท ดังที่มีการเปิดเผยข้อมูล ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงอะไร มีธุ...