ส่องเมกะเทรนด์ธุรกิจใหม่ มุ่งสู่ ลดคาร์บอน มาแรง ดันไทยสู่เวทีสากล
"กิริฎา" ทีดีอาร์ไอ ย้ำกลางเวที Posttoday Thailand Economic Drive 2024 ชี้ 4 เมกะเทรนด์โลก ช่วยดันไทยสู่เวทีโลก เผยโอกาสไทยมีเพียบ พร้อมนำวิจัยไปต่อยอดธุรกิจใหม่ แนะใช้พลังสร้างสรรค์ควบคู่ซอฟต์พาวเวอร์ ชดันเศรษฐกิจไทยโต ควันหลงเวที Posttoday Thailand ECONOMIC DRIVE 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" ในหัวข้อ New Business กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยังมีมุมมองจากหลายท่านที่น่าสนใจ ตอนหนึ่ง ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI กล่าวว่า ธุรกิจใหม่ที่ประเทศไทยน่าจะมีโอกาสในเวทีโลก ทั้งเรื่องสินค้า บริการ อย่างที่เราทราบ Mega Trend(เมกะเทรนด์) ในโลกอนาคต จะยังอยู่กับเราอีกนาน โดยแต่ละเรื่องล้วนเป็นโอกาสของประเทศและธุรกิจใหม่ๆ ดังนี้ 1.ภูมิรัฐศาสตร์ การเมืองโลก แม้จะนำมาซึ่งความเสี่ยงสงคราม การกีดกันทางการค้า Supply Chain ในโลกกำลังปรับ มีทั้งย้ายการลงทุน ย้ายออกจากประเทศแม่ ไปหาประเทศที่เป็นมิตร ประเทศไทยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ยินดีต้อนรับการลงทุน โดยเฉพาะในธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ เมื่อดูตัวเลขลงทุนขอสิทธิประโยชน์จาก บีโอไอ ช่วง2-3ปีที่ผ่านมา ได้รับสิทธิบัตรจากบีโอไอไปมากมาย ประเทศที่มาส่วนใหญ่เกี่ยวกับ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ อาหารในอนาคต ผงโปรตีนมาจากแมลง บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ ถือว่าโอกาสของประเทศมาแล้ว ในท่ามกลางการเมืองโลก 2.เมกกะเทรนด์ เกี่ยวกับการลดคาร์บอน ในทุกธุรกิจที่จะมาลงทุนในประเทศ ต้องนำไปสู่สังคม โลว์คาร์บอนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น การจัดหาพลังงานสะอาด การเก็บกักพลังงานแบตเตอร์รี่ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงชิ้นส่วนเครื่องขนส่งทางอากาศ น้ำมันเติมเครื่องบินสีเขียว ที่มาจากน้ำมันทำกับข้าวใช้แล้ว เศษอาหาร สินค้าเกษตร นำมากลั่นใหม่กลายเป็น น้ำมันสีเขียวสำหรับเครื่องบิน โปรตีนไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์มาจากผงแมลง ทั้งนี้แต่ละบริษัทที่จะมาลงทุน ภายในปี2050 จะต้องลด Carbon Footprint ให้ได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะมากับธุรกิจและสังคมสีเขียว 3.เทคโนโลยีกับเอไอ ได้ดึงดูดการลงทุนให้เข้ามาในประเทศ ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แทบเล็ต มือถือ Tele Medicine ที่ประเทศไทยสามารถใช้โอกาสเทคโนโลยีแพร่กระจายไปทั่วโลก ในการนำไปต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ ในส่วนของการใช้ เอไอ มากที่สุดพบว่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับ สุขภาพ รองลงไปเกี่ยวกับธุรกิจการจัดการข้อมูล การเงิน การค้าปลีก ขณะเดียวกันการเข้ามาตั้งบริษัทดาต้า เซ็นเตอร์ ที่เข้ามาตั้งในประเทศไทย เมื่อมาตั้งแล้ว จะต้องลดคาร์บอนได้ แต่ละอุตสาหกรรมล้วนผูกกัน ซึ่งถือเป็นโอกาส การใช้เทคโนโลยีเอไอ ในการนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ได้เช่นกัน จากปรากฏการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่กลายเป็นเรื่องปกติ สู่ภัยพิบัติรุนแรงทั่วทุกมุมโลก วิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่ได้กลายมาเป็น “Game Changer” หรือตัวพลิกเกมครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และทุกองคาพยพของภาคธุรกิจ นี่คือประเด็นสำคัญที่สะท้อนจากเวทีเสวนา “Global Megatrend in Climate Tech” ซึ่งชี้ชัดว่าเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Tech คือเมกะเทรนด์ที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุค และเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสมหาศาลที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว
วงเสวนาประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภคมน สุภาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงศ์วิเศษ ผู้ประสานงานวิจัยความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศและการรับรู้ปรับฟื้น และหัวหน้าหน่วยบริการและจัดการคาร์บอน สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ วีรศักดิ์ พงษ์ธัญญวชัย หัวหน้าฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่า Climate Tech คือจุดเปลี่ยนที่ไม่อาจมองข้าม ภคมนระบุว่า ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นแล้ว 1.4 องศาเซลเซียส ซึ่งเข้าใกล้เพดานอันตรายที่ 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) อย่างมาก แรงกดดันนี้ทำให้ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละประมาณ 5 หมื่นล้านตัน ต้องมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) สำหรับประเทศไทย ทิศทางเชิงนโยบายกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยล่าสุดได้มีการปรับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นจากเดิมปี 2065 มาเป็นปี 2050 เพื่อให้สอดคล้องกับประชาคมโลก การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จะถูกขับเคลื่อนด้วย “พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งกำลังจะออกมาเป็นกฎหมายภาคบังคับในไม่ช้า สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือการกำหนดให้องค์กรขนาดใหญ่มีหน้าที่ต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้ว โดยปัจจุบันมีองค์กรในไทยที่รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับ TGO กว่า 1,700 แห่ง และในจำนวนนี้กว่า 100 แห่งได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero อย่างชัดเจน โดยภายใต้กฎหมายใหม่ คาดว่าจะมีองค์กรที่เข้าข่ายต้องรายงานเพิ่มขึ้นเป็นราว 3,200 แห่ง และในอนาคตจะมีการกำหนดเพดานการปล่อย (Emission Trading Scheme: ETS) ซึ่งหมายความว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะไม่ใช่เรื่องของความสมัครใจอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องบริหารจัดการอย่างจริงจัง ปี 2025 ภูมิทัศน์ด้านความยั่งยืนทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นปีที่ภาคธุรกิจต้องรับมือความท้าทายและโอกาสใหม่ ตั้งแต่เรื่องกฎระเบียบการส่งออก CBAM เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) และการมุ่งเน้นด้านสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้น ปีนี้กลายเป็นปีสำคัญสำหรับตลาดคาร์บอน การลงทุนสีเขียว และการปรับตัวของแต่ละประเทศให้สอดคล้องกฎระเบียบใหม่ทั่วโลก
ฟอรั่มผู้นำในปีที่ผ่านมา เช่น การประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP29) ที่กรุงบากู เน้นความเร่งด่วนของการเชิงปฏิรูป ในขณะที่กระแสทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเลือกตั้งสหรัฐแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด ในปี 2025 ตลาดคาร์บอนจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยรับแรงผลักดันระดับโลกผ่านโครงการด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น ข้อตกลงปารีส ที่ผลักดันให้รัฐบาลและภาคเอกชนเข้าร่วมตลาดคาร์บอนมากขึ้น หลายประเทศและบริษัทกำหนดเป้าหมายเน็ตซีโรทะเยอทะยานขึ้น และให้คำมั่นชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ความต้องการคาร์บอนในตลาดคาร์บอนตามอัธยาศัย (VCM) เพิ่มขึ้น จากรายงานของ The Business Research ระบุว่า ขนาดตลาดคาร์บอนเครดิตระดับโลกเติบโตแบบทวีคูณช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเติบโตจาก 3.98 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2023 เป็น 5.26 แสนดอลลาร์ ในปี 2024 การเติบโตนี้เป็นผลจากข้อตกลงด้านสภาพอากาศระหว่างประเทศ ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) โครงการพลังงานหมุนเวียน การอนุรักษ์และปลูกป่าทดแทน โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รายงานของ Bain & Temasek คาดการณ์ว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส ภายในปี 2613 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเผชิญความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ( 2.2 พันล้านบาท) โดยเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาคนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (10.5 ล้านล้านบาท) ต่อปีภายในปี 2573 หรือประราว 5% ของ GDP รวมทั้งภูมิภาค
จากงานนี้ ขอพาไปทำความรู้จักกับสตาร์ทอัพน่าจับตามอง ที่มีแนวทางเฉพาะในการลดคาร์บอนและสร้างโลกที่ยั่งยืนพร้อมคำถามชวนคิดส่งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนเป็นอะไรก็ได้ คุณอยากเปลี่ยนให้มันเป็นอะไร” เรากำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นเหมือน ‘ดวงอาทิตย์จำลองบนโลก’ เพื่อเป็นผลิตพลังงานแห่งอนาคต” Takaya Taguchi ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Helical Fusion เริ่มเล่าถึงเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันที่บริษัทกำลังพัฒนา เพื่อเป็นแหล่งพลังงานอนาคตที่ไม่ปล่อยคาร์บอน ไม่มีของเสียกัมมันตรังสีระดับสูง และใช้แหล่งพลังงานเชื้อเพลิงอันอุดมสมบูรณ์จากน้ำทะเล จุดเด่นคือการใช้เตาปฏิกรณ์แบบ Helical Stellarator ซึ่งควบคุมพลาสมาด้วยขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเกลียวคู่ที่สร้างสนามแม่เหล็กแรงสูงช่วยให้เดินเครื่องได้ต่อเนื่อง ปลอดภัย และบำรุงรักษาได้ง่าย กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีสัมมนา “Future Forum 2025: – Great Transformation” ซึ่งมีนักวิชาการและผู้นำภาคธุรกิจเข้าร่วมกว่า 250 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยการตื่นตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาและได้รับการยอมรับตรงกันคือ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ “The Great Transformation” ครั้งนี้ นายเฮง สวี เกียต อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติของสิงคโปร์ (National Research Foundation, Singapore) ได้ให้ทรรศนะที่น่าสนใจในหัวข้อ “Economic Transformation for Peoples, For Planet” โดยระบุว่า โลกได้ผ่านวิกฤตการณ์สำคัญมาแล้ว 2 รูปแบบในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา คือวิกฤตเศรษฐกิจ (วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551) และวิกฤตโรคระบาด (โควิด-19) แม้วิกฤตเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบ แต่เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตต่อไปได้แม้จะในอัตราที่ชะลอตัวลง ทว่า วิกฤตโควิด-19 ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนภูมิทัศน์โลกไปอย่างสิ้นเชิง นายเฮง สวี เกียต ได้สรุปเมกะเทรนด์ที่กำลังขับเคลื่อนโลกในปัจจุบันภายใต้แนวคิด “4D” ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“สิงคโปร์ได้นำเทรนด์ทั้ง 4 มาเป็นแกนหลักในการวางกลยุทธ์บริหารประเทศ โดยเน้นการพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันเทคโนโลยี, การทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งปัจจุบันมีถึง 28 ฉบับ, การบริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) และการปรับใช้เทคโนโลยีในทุกภาคส่วน” นายเฮง สวี เกียต กล่าว เขายังเน้นย้ำว่า “ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ AI จะเป็นขุมพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่หัวใจหลักคือการพัฒนาศักยภาพของประชากรให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้ ภาคเอกชนต้องเปลี่ยนวิธีคิด ปรับกลยุทธ์ และเปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางความผันผวน” หลังจากเวที COP28 (Conference of the Parties ครั้งที่ 28) ณ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีบทสรุปทิศทางการเคลื่อนทุน นโยบาย และสังคมทั่วโลก ไปสู่การเพิ่มความเข้มข้นมากกว่าสัญญาทางใจ หรือ แค่ภาคสมัครใจ มาสู่พันธสัญญาแห่งการต้องลงมือทำ (In Action) มีกลไกการติดตาม และมีเงื่อนไขเวลา เพื่อร่วมมือกันควบคุมอุณหภูมิบนโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศา มีความเข้มข้น ลงมือปฏิบัติสร้างกรอบการทำงานให้สมาชิกกลับไปวางแผนเส้นทางไปสู่การลดคาร์บอน 45-50% ภายในปี 2030 จนคาร์บอนเป็นศูนย์(Net Zero) ภายในปี... ปี 2024 จึงเป็นจุดเปลี่ยน !! เรากำลังก้าวข้ามสิ่งที่สร้างปัญหาในอดีต ธุรกิจได้เคยทำไว้ จนนำไปสู่การสร้างปัญหาวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ก้าวขึ้นสู่ปี 2024 เทรนด์ธุรกิจจึงมาพร้อมกันกับการพาองค์กรปรับโครงสร้าง โมเดลธุรกิจ ยืดหยุ่น สร้างความยั่งยืนจากภายใน รองรับปัจจัยซับซ้อนหลากหลายด้าน ต้องออกแบบภูมิทัศน์ใหม่ สร้างโอกาสการพัฒนา ให้ยืดหยุ่น ปรับกลยุทธ์ และลงมือทำให้สอดคล้องกันกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ที่มีความไม่แน่นอนคาดเดายาก และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ดังนั้น เพื่อปิดช่องว่างของการแปลงกลยุทธ์ธุรกิจให้มีข้อพิสูจน์การดำเนินงานอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตามพันธสัญญา ทั้งการลดคาร์บอน การขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืนได้ เพื่อนำมาสู่การดำเนินธุรกิจให้เติบโต ก้าวข้ามข้อครหาของการฟอกเขียว (Green Washing) ทำดีแค่สร้างภาพ พูดอย่างทำอย่าง ไม่จริงใจแก้ไขปัญหา จึงต้องมีวิธีการหลอมรวมความยั่งยืนเข้าไปสู่กระบวนการทำธุรกิจในทุกระดับ แสดงให้โลกเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นมาจากความเข้าใจสิ่งแวดล้อม สังคม เชิงลึกที่แท้จริง ธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2567 ว่าสามารถทำผลงานเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทมุ่งมั่นเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางศักยภาพและผลการดำเนินงานในระยะยาว ตั้งเป้ารายได้เติบโต 20% จาก 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ส่องสว่าง ที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญตามปัจจัยบวกอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจประเทศ รวมถึงการเข้ายื่นประมูลงานจากโครงการภาครัฐและภาคเอกชน 2.ธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ 3 แห่ง รวมกำลังการผลิต 5.4 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะการรับรู้รายได้เต็มปีเป็นครั้งแรก จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าชีวภาพจังหวัดสุพรรณบุรี รวมถึงการลงทุนในธุรกิจขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ที่ปัจจุบันทั่วโลกมีอัตราการเติบโตและขยายตัวสูงขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยการซื้อขายคาร์บอนเครดิตยังมีปริมาณน้อย เมื่อเทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมของประเทศ นับเป็น New S-curve ธุรกิจพลังงานสีเขียว หนึ่งในเมกะเทรนด์ที่จะมาเปลี่ยนโฉมโลกธุรกิจ ช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนและการแข่งขัน สนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
สำหรับความคืบหน้าการขายคาร์บอนเครดิต โรงไฟฟ้าชีวภาพแห่งที่ 3 จังหวัดสุพรรณบุรี ขนาดกำลังผลิต 3 เมกะวัตต์ ที่สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Environmental Research Institute Chulalongkorn University) ได้ประเมินผลตามมาตรฐาน Gold Standard และคำนวณการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 91,000 ตันต่อปี ล่าสุด เตรียมได้ข้อสรุปการเสนอขายคาร์บอนเครดิตในเร็วๆ นี้ ในยุคที่โลกต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขับเคลื่อนธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทาง Low-carbon Economy ไม่เพียงเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาวอีกด้วย ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) แต่เส้นทางนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งคิดเป็น 80% ของการจ้างงานในประเทศ บทความนี้จะพาไปสำรวจ Key Takeaway จาก TNIU Fika Talk EP.6 “ขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ Low-carbon Economy พร้อมแรงบันดาลใจจากการเยือนเดนมาร์ก” ที่จัดโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน ร่วมกับ Thailand and Nordics Countries Innovation Unit (TNIU) ซึ่งได้รับเกียรติจาก ศ.ดร. พิสุทธิ์ เพียรมนกุล ผู้อำนวยการสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน (CBiS) และ ดร.
ณัฐวิญญ์ ชวเลิศพรศิยา รองผู้อำนวยการ CBiS เป็นวิทยากร และร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในครั้งนี้ CBiS มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้ คำปรึกษา และเครื่องมือต่างๆ ที่จำเป็นต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการใช้หลักวิศวกรรมที่ทันสมัย พร้อมยังส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม รายงานข้อมูลปี 2562 (ค.ศ. 2019) ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) มากที่สุดในโลก ได้แก่ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 21 ของโลก ในแง่ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการปล่อยก๊าซสุทธิที่ 280.73 MtCO₂eq ซึ่งคิดเป็น 0.74% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของโลก โดยภาคพลังงานเป็นแหล่งปล่อยหลัก คิดเป็น 70% ของการปล่อยทั้งหมด รองลงมาคือภาคเกษตรกรรม 15.2% กระบวนการอุตสาหกรรม 10.3% และของเสีย 4.5%
People Also Search
- ส่องเมกะเทรนด์ธุรกิจใหม่ มุ่งสู่ "ลดคาร์บอน" มาแรง! ดันไทยสู่เวทีสากล
- เจาะเมกะเทรนด์ Climate Tech พลิกอนาคตธุรกิจไทย
- เมกะเทรนด์ความยั่งยืนปี 2025 ตลาดคาร์บอนเครดิต-พลังงานไฮโดรเจน 'มาแรง'
- ทำความรู้จักสตาร์ทอัพลดคาร์บอนตัวจริง พลิกวิกฤตโลกร้อนสู่โอกาสธุรกิจใหม่
- เปิด 4 เมกะเทรนด์ พลิกโฉมเศรษฐกิจโลก ธุรกิจไทยต้องปรับตัวด่วน
- ธุรกิจคาร์บอนต่ำ เทรนด์ธุรกิจมาแรงที่มีแนวโน้มเติบโต - Ide
- เปิด 4 เมกะเทรนด์ปี 2024 ปลดครหาฟอกเขียว ธุรกิจยั่งยืนโลกรัก - ESG Universe
- Tmi มุ่งสู่เมกะเทรนด์ ลุยธุรกิจคาร์บอนเครดิต สร้างความแข็งแกร่งให้กับ ...
- TNIU x CBiS : พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ Low-carbon Economy
- จับตา 5 สตาร์ทอัพ กับกระบวนการลดคาร์บอน นวัตกรรม Climate Tech ที่พร้อม ...
"กิริฎา" ทีดีอาร์ไอ ย้ำกลางเวที Posttoday Thailand Economic Drive 2024 ชี้ 4
"กิริฎา" ทีดีอาร์ไอ ย้ำกลางเวที Posttoday Thailand Economic Drive 2024 ชี้ 4 เมกะเทรนด์โลก ช่วยดันไทยสู่เวทีโลก เผยโอกาสไทยมีเพียบ พร้อมนำวิจัยไปต่อยอดธุรกิจใหม่ แนะใช้พลังสร้างสรรค์ควบคู่ซอฟต์พาวเวอร์ ชดันเศรษฐกิจไทยโต ควันหลงเวที Posttoday Thailand ECONOMIC DRIVE 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" ในหัวข้อ New Business กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยังมีมุมมองจากหลายท่านที่น่าสนใจ ตอนหนึ่ง ดร.กิริฎา เภา...
วงเสวนาประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภคมน สุภาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) รศ.ดร.สุทธิรัตน์
วงเสวนาประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภคมน สุภาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงศ์วิเศษ ผู้ประสานงานวิจัยความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศและการรับรู้ปรับฟื้น และหัวหน้าหน่วยบริการและจัดการคาร์บอน สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ วีรศักดิ์ พงษ์ธัญญวชัย หัวหน้าฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนอง...
ฟอรั่มผู้นำในปีที่ผ่านมา เช่น การประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP29) ที่กรุงบากู เน้นความเร่งด่วนของการเชิงปฏิรูป ในขณะที่กระแสทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเลือกตั้งสหรัฐแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด ในปี
ฟอรั่มผู้นำในปีที่ผ่านมา เช่น การประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP29) ที่กรุงบากู เน้นความเร่งด่วนของการเชิงปฏิรูป ในขณะที่กระแสทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเลือกตั้งสหรัฐแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด ในปี 2025 ตลาดคาร์บอนจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยรับแรงผลักดันระดับโลกผ่านโครงการด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น ข้อตกลงปารีส ที่ผลักดันให้รัฐบา...
จากงานนี้ ขอพาไปทำความรู้จักกับสตาร์ทอัพน่าจับตามอง ที่มีแนวทางเฉพาะในการลดคาร์บอนและสร้างโลกที่ยั่งยืนพร้อมคำถามชวนคิดส่งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนเป็นอะไรก็ได้ คุณอยากเปลี่ยนให้มันเป็นอะไร” เรากำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นเหมือน ‘ดวงอาทิตย์จำลองบนโลก’ เพื่อเป็นผลิตพลังงานแห่งอนาคต” Takaya Taguchi
จากงานนี้ ขอพาไปทำความรู้จักกับสตาร์ทอัพน่าจับตามอง ที่มีแนวทางเฉพาะในการลดคาร์บอนและสร้างโลกที่ยั่งยืนพร้อมคำถามชวนคิดส่งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนเป็นอะไรก็ได้ คุณอยากเปลี่ยนให้มันเป็นอะไร” เรากำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นเหมือน ‘ดวงอาทิตย์จำลองบนโลก’ เพื่อเป็นผลิตพลังงานแห่งอนาคต” Takaya Taguchi ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Helical Fusion เริ่มเล่าถึงเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันที่บริษัทกำลังพัฒนา ...
“สิงคโปร์ได้นำเทรนด์ทั้ง 4 มาเป็นแกนหลักในการวางกลยุทธ์บริหารประเทศ โดยเน้นการพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันเทคโนโลยี, การทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งปัจจุบันมีถึง 28 ฉบับ, การบริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาล
“สิงคโปร์ได้นำเทรนด์ทั้ง 4 มาเป็นแกนหลักในการวางกลยุทธ์บริหารประเทศ โดยเน้นการพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันเทคโนโลยี, การทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งปัจจุบันมีถึง 28 ฉบับ, การบริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) และการปรับใช้เทคโนโลยีในทุกภาคส่วน” นายเฮง สวี เกียต กล่าว เขายังเน้นย้ำว่า “ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ AI จะเป็นขุมพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่หัวใจหลักคือการพัฒนาศักยภาพของประชากร...