เปิด 4 เมกะเทรนด์ปี 2024 ปลดครหาฟอกเขียว ธุรกิจยั่งยืนโลกรัก Esg Unive
หลังจากเวที COP28 (Conference of the Parties ครั้งที่ 28) ณ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีบทสรุปทิศทางการเคลื่อนทุน นโยบาย และสังคมทั่วโลก ไปสู่การเพิ่มความเข้มข้นมากกว่าสัญญาทางใจ หรือ แค่ภาคสมัครใจ มาสู่พันธสัญญาแห่งการต้องลงมือทำ (In Action) มีกลไกการติดตาม และมีเงื่อนไขเวลา เพื่อร่วมมือกันควบคุมอุณหภูมิบนโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศา มีความเข้มข้น ลงมือปฏิบัติสร้างกรอบการทำงานให้สมาชิกกลับไปวางแผนเส้นทางไปสู่การลดคาร์บอน 45-50% ภายในปี 2030 จนคาร์บอนเป็นศูนย์(Net Zero) ภายในปี... ปี 2024 จึงเป็นจุดเปลี่ยน !! เรากำลังก้าวข้ามสิ่งที่สร้างปัญหาในอดีต ธุรกิจได้เคยทำไว้ จนนำไปสู่การสร้างปัญหาวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ก้าวขึ้นสู่ปี 2024 เทรนด์ธุรกิจจึงมาพร้อมกันกับการพาองค์กรปรับโครงสร้าง โมเดลธุรกิจ ยืดหยุ่น สร้างความยั่งยืนจากภายใน รองรับปัจจัยซับซ้อนหลากหลายด้าน ต้องออกแบบภูมิทัศน์ใหม่ สร้างโอกาสการพัฒนา ให้ยืดหยุ่น ปรับกลยุทธ์ และลงมือทำให้สอดคล้องกันกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ที่มีความไม่แน่นอนคาดเดายาก และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น เพื่อปิดช่องว่างของการแปลงกลยุทธ์ธุรกิจให้มีข้อพิสูจน์การดำเนินงานอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตามพันธสัญญา ทั้งการลดคาร์บอน การขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืนได้ เพื่อนำมาสู่การดำเนินธุรกิจให้เติบโต ก้าวข้ามข้อครหาของการฟอกเขียว (Green Washing) ทำดีแค่สร้างภาพ พูดอย่างทำอย่าง ไม่จริงใจแก้ไขปัญหา จึงต้องมีวิธีการหลอมรวมความยั่งยืนเข้าไปสู่กระบวนการทำธุรกิจในทุกระดับ แสดงให้โลกเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นมาจากความเข้าใจสิ่งแวดล้อม สังคม เชิงลึกที่แท้จริง
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีสัมมนา “Future Forum 2025: – Great Transformation” ซึ่งมีนักวิชาการและผู้นำภาคธุรกิจเข้าร่วมกว่า 250 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยการตื่นตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาและได้รับการยอมรับตรงกันคือ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ “The Great Transformation” ครั้งนี้ นายเฮง สวี เกียต อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติของสิงคโปร์ (National Research Foundation, Singapore) ได้ให้ทรรศนะที่น่าสนใจในหัวข้อ “Economic Transformation for Peoples, For Planet” โดยระบุว่า โลกได้ผ่านวิกฤตการณ์สำคัญมาแล้ว 2 รูปแบบในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา คือวิกฤตเศรษฐกิจ (วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551) และวิกฤตโรคระบาด (โควิด-19) แม้วิกฤตเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบ แต่เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตต่อไปได้แม้จะในอัตราที่ชะลอตัวลง ทว่า วิกฤตโควิด-19 ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนภูมิทัศน์โลกไปอย่างสิ้นเชิง นายเฮง สวี เกียต ได้สรุปเมกะเทรนด์ที่กำลังขับเคลื่อนโลกในปัจจุบันภายใต้แนวคิด “4D” ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “สิงคโปร์ได้นำเทรนด์ทั้ง 4 มาเป็นแกนหลักในการวางกลยุทธ์บริหารประเทศ โดยเน้นการพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันเทคโนโลยี, การทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งปัจจุบันมีถึง 28 ฉบับ, การบริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) และการปรับใช้เทคโนโลยีในทุกภาคส่วน” นายเฮง สวี เกียต กล่าว เขายังเน้นย้ำว่า “ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ AI จะเป็นขุมพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่หัวใจหลักคือการพัฒนาศักยภาพของประชากรให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้ ภาคเอกชนต้องเปลี่ยนวิธีคิด ปรับกลยุทธ์ และเปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางความผันผวน” เมื่อช่วงต้นปีนี้ World Economic Forum ได้จัดทำรายงาน Global Risks Report 2023 ระบุว่าโลกของเราก็กำลังเผชิญความท้าทายจากความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ และหนึ่งในวาระสำคัญเร่งด่วนก็คือ แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่กำลังสิ้นสุดยุคโลกร้อน (Global Warming) และเข้าสู่ยุคโลกเดือด (Global Boiling) ที่สะท้อนผ่านแอคชันคีย์เวิร์ด “ความยั่งยืน” หรือ “Sustainability” ซึ่งประชาคมโลกมีการตั้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: 17 SDGs) ตัวชี้วัดให้กับทุกภาคส่วนเพื่อใช้ตรวจสอบความคืบหน้าของการดำเนินงานให้กับตนเอง
การมาถึงของกรอบแนวคิดเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่คำนึงถึงประเด็นพื้นฐานใน 3 มิติที่สำคัญ ได้แก่ มิติสิ่งแวดล้อม (Environmental: E) มิติสังคม (Social: S) และมิติธรรมาภิบาล (Governance: G) หรือ “ESG: Environmental, Social, and Governance” ยังตอกย้ำการสร้างความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาว่าต้องการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องเป็นการเริ่มลงมือปฏิบัติแบบจริงจัง เห็นผลเชิงประจักษ์ และวัดผลได้อย่างชัดเจน สำหรับปี 2024 แนวโน้ม Sustainability Trends เทรนด์ความยั่งยืน เทรนด์นวัตกรรม และวาระสืบเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) จะเป็นอย่างไรบ้าง SCGC นำมาอัปเดตให้ทุกคนได้รับรู้กันในบทความนี้ Climate Fintech เป็นการนำ Fintech (การผสมระหว่างคำว่า Finance กับคำว่า Technology หรือการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะระบบการสื่อสารออนไลน์มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจด้านการเงิน การธนาคาร และการลงทุน บ่อยครั้งก็เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Disrupt) ของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมดังกล่าวไปสู่สิ่งใหม่) เข้ามาช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ผ่านการทำให้กิจกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว มีผลกับ Climate Change น้อยลง เช่น Digital Banking และ Digital Point-of-Sale ที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถทำรายการต่าง ๆ ได้โดยใช้ทรัพยากรที่น้อยลง นำไปสู่การลด Carbon Footprint ได้ การนำ Blockchain มาสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขาย Carbon Credit หรือ Renewable Energy Certificate (REC) ที่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ถือเป็นไฮไลต์หนึ่งของ Climate Fintech ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นก้าวแรกของนวัตกรรมนี้ สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีกว่า 500 บริษัท/ องค์กรในกลุ่ม Carbon Neutral ที่จะได้ใช้งานแพลตฟอร์มนี้ในการซื้อขายและแลกเปลี่ยน Carbon Credit กันโดยตรง จึงทำให้การซื้อขายเป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ภายใต้แพลตฟอร์ม Gideon ที่ถูกพัฒนาโดย Blockfint ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสร้าง Thailand... ปรับธุรกิจ รับแนวทางสหประชาชาติเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ปรับธุรกิจ รับแนวทางสหประชาชาติเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
กรุงเทพฯ 22 มิถุนายน 2566 – รายงานขององค์การสหประชาชาติเรื่องการฟอกเขียวได้รับการเผยแพร่ ณ ที่ประชุมภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 27 (UN Climate Change Conference of the Parties: COP27) ภายใต้ชื่อ 'ความซื่อสัตย์: ความมุ่งมั่นสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยธุรกิจ สถาบันการเงิน เมืองต่างๆ และภูมิภาค' รายงานดังกล่าวจัดทำโดยคณะทำงานซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้าน Net Zero ของภาคเอกชนและองค์กรอิสระ นำเสนอคำตักเตือนต่อบริษัทที่อ้างว่าได้มีการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยไม่ได้ลงมือทำจริง และเปิดตัวการปราบปรามการฟอกเขียวครั้งใหญ่ขององค์กรที่อ้าง Net... รายงานสรุปคำแนะนำที่สำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าภาคเอกชนทำงานเต็มที่เพื่อลดปริมาณคาร์บอน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสานต่อโครงการ มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Race to Zero) และเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ (Science-Based Targets) โดยให้กรอบเวลาและการทำงานแก่องค์กรและนักลงทุนเพื่อส่งมอบ Net Zero (ตามเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว) รายงานนำเสนอแผนงานเพื่อป้องกันไม่ให้ Net Zero ถูกลดคุณค่าจากการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ ความคลุมเครือ หรือการฟอกเขียว โดยให้คำแนะนำ 10 ประการสำหรับองค์กรและ 'ภาคเอกชนและองค์กรอิสระ' อื่น ๆ เช่น เมืองต่างๆ และนักลงทุน เพื่อเป็นแนวทางสู่ Net Zero ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในงาน “TCP Sustainability Forum 2025” ว่า การแข่งขันอันดุเดือดระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก โดยจีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ ในหลายด้าน ทั้งการผลิต การส่งออก และเทคโนโลยีอย่าง AI ทำให้สหรัฐฯ เผชิญกับความกังวลเรื่องการขาดดุลและหนี้มหาศาล จนนำมาซึ่ง "สงครามการค้าและเทคโนโลยี" ซึ่งสร้างความผันผวนไปทั่วโลก แม้สถานการณ์นี้จะดูเหมือนเป็นวิกฤต แต่กลับกลายเป็นโอกาสทองของประเทศอย่างประเทศไทย เมื่อบริษัทข้ามชาติต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อลดความเสี่ยง ภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญ ตัวเลขจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ชี้ให้เห็นถึงกระแสการลงทุนที่ไหลบ่าเข้าสู่ไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 มีคำขอส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับยอดรวมทั้งปีของปีก่อนหน้า การลงทุนที่พุ่งสูงขึ้นนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยไปสู่ยุคใหม่ ด้วยอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น
หากมองในระดับภูมิภาค อาเซียนกำลังกลับมาเป็นจุดสนใจของการลงทุนระดับโลกอีกครั้ง หลังวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้สัดส่วนการลงทุนลดลงอย่างฮวบฮาบ ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนโดยตรงในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากประมาณ 5% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็น 17% ในปี 2566 และมีแนวโน้มจะพุ่งสูงขึ้นถึง 20-25% ในอนาคต การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ที่พร้อมจะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของโลก โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า "ในอีก 5 ปีข้างหน้า อาเซียนจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป" ที่โรงแรมอีสตินแกรนด์ พญาไท ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI กล่าวในงาน Posttoday Thailand ECONOMIC DRIVE 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" ในหัวข้อ New Business กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตอนหนึ่งว่า จะมานำเสนองานวิจัย วิเคราะห์เกี่ยวกับธุรกิจใหม่ ที่ประเทศไทยน่าจะมีโอกาสในเวทีโลก ทั้งเรื่องสินค้า บริการ อย่างที่เราทราบ Mega Trend(เมกะเทรนด์) ในโลกอนาคต จะยังอยู่กับเราอีกนาน โดยแต่ละเรื่องล้วนเป็นโอกาสของประเทศและธุรกิจใหม่ๆ 1.ภูมิรัฐศาสตร์ การเมืองโลก แม้จะนำมาซึ่งความเสี่ยงสงคราม การกีดกันทางการค้า Supply Chain ในโลกกำลังปรับ มีทั้งย้ายการลงทุน ย้ายออกจากประเทศแม่ ไปหาประเทศที่เป็นมิตร ประเทศไทยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ยินดีต้อนรับการลงทุน โดยเฉพาะในธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ เมื่อดูตัวเลขลงทุนขอสิทธิประโยชน์จาก บีโอไอ ช่วง2-3ปีที่ผ่านมา ได้รับสิทธิบัตรจากบีโอไอไปมากมาย ประเทศที่มาส่วนใหญ่เกี่ยวกับ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ อาหารในอนาคต ผงโปรตีนมาจากแมลง บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ ถือว่าโอกาสของประเทศมาแล้ว ในท่ามกลางการเมืองโลก 2. เมกกะเทรนด์ เกี่ยวกับการลดคาร์บอน ในทุกธุรกิจที่จะมาลงทุนในประเทศ ต้องนำไปสู่สังคม โลว์คาร์บอนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น การจัดหาพลังงานสะอาด การเก็บกักพลังงานแบตเตอรี่ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงชิ้นส่วนเครื่องขนส่งทางอากาศ น้ำมันเติมเครื่องบินสีเขียว ที่มาจากน้ำมันทำกับข้าวใช้แล้ว เศษอาหาร สินค้าเกษตร นำมากลั่นใหม่กลายเป็น น้ำมันสีเขียวสำหรับเครื่องบิน โปรตีนไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์มาจากผงแมลง ทั้งนี้แต่ละบริษัทที่จะมาลงทุน ภายในปี2050 จะต้องลด Carbon Footprint ให้ได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะมากับธุรกิจและสังคมสีเขียว
3. เทคโนโลยีกับเอไอ ได้ดึงดูดการลงทุนให้เข้ามาในประเทศ ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิสก์ แทบเล็ต มือถือ Tele Medicine ที่ประเทศไทยสามารถใช้โอกาสเทคโนโลยีแพร่กระจายไปทั่วโลก ในการนำไปต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ ในส่วนของการใช้ เอไอ มากที่สุดพบว่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับ สุขภาพ รองลงไปเกี่ยวกับธุรกิจการจัดการข้อมูล การเงิน การค้าปลีก ขณะเดียวกันการเข้ามาตั้งบริษัทดาต้า เซ็นเตอร์ ที่เข้ามาตั้งในประเทศไทย เมื่อมาตั้งแล้ว จะต้องลดคาร์บอนได้ แต่ละอุตสาหกรรมล้วนผูกกัน ซึ่งถือเป็นโอกาส การใช้เทคโนโลยีเอไอ ในการนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ได้เช่นกัน 4.สังคมผู้สูงวัย ที่คนอายุ65ปี จะมีมากขึ้น ต่างต้องการสินค้า บริการแตกต่างทางสังคม แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ไทยก็รวมอยู่ในนั้นด้วยที่มีประชากรสูงวัยจำนวนมากด้วย ดังนั้น ธุรกิจเกี่ยวอาหารที่เป็นสีเขียว ดีต่อสุขภาพ การจัดชั้นในร้านค้าปลีก ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เอื้อต่อคนสูงวัย Health Care บ้านที่ต้องปรับปรุงเป็นสมาร์ทโฮม การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัย ผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ที่จะแปรเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงิน เป็นเรื่องที่ตอบโจทย์ในวันข้างหน้าและเป็นโอกาส "กิริฎา" ทีดีอาร์ไอ ย้ำกลางเวที Posttoday Thailand Economic Drive 2024 ชี้ 4 เมกะเทรนด์โลก ช่วยดันไทยสู่เวทีโลก เผยโอกาสไทยมีเพียบ พร้อมนำวิจัยไปต่อยอดธุรกิจใหม่ แนะใช้พลังสร้างสรรค์ควบคู่ซอฟต์พาวเวอร์ ชดันเศรษฐกิจไทยโต ควันหลงเวที Posttoday Thailand ECONOMIC DRIVE 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" ในหัวข้อ New Business กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยังมีมุมมองจากหลายท่านที่น่าสนใจ ตอนหนึ่ง ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI กล่าวว่า ธุรกิจใหม่ที่ประเทศไทยน่าจะมีโอกาสในเวทีโลก ทั้งเรื่องสินค้า บริการ อย่างที่เราทราบ Mega Trend(เมกะเทรนด์) ในโลกอนาคต จะยังอยู่กับเราอีกนาน โดยแต่ละเรื่องล้วนเป็นโอกาสของประเทศและธุรกิจใหม่ๆ ดังนี้ 1.ภูมิรัฐศาสตร์ การเมืองโลก แม้จะนำมาซึ่งความเสี่ยงสงคราม การกีดกันทางการค้า Supply Chain ในโลกกำลังปรับ มีทั้งย้ายการลงทุน ย้ายออกจากประเทศแม่ ไปหาประเทศที่เป็นมิตร ประเทศไทยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ยินดีต้อนรับการลงทุน โดยเฉพาะในธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ เมื่อดูตัวเลขลงทุนขอสิทธิประโยชน์จาก บีโอไอ ช่วง2-3ปีที่ผ่านมา ได้รับสิทธิบัตรจากบีโอไอไปมากมาย ประเทศที่มาส่วนใหญ่เกี่ยวกับ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ อาหารในอนาคต ผงโปรตีนมาจากแมลง บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ ถือว่าโอกาสของประเทศมาแล้ว ในท่ามกลางการเมืองโลก
2.เมกกะเทรนด์ เกี่ยวกับการลดคาร์บอน ในทุกธุรกิจที่จะมาลงทุนในประเทศ ต้องนำไปสู่สังคม โลว์คาร์บอนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น การจัดหาพลังงานสะอาด การเก็บกักพลังงานแบตเตอร์รี่ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงชิ้นส่วนเครื่องขนส่งทางอากาศ น้ำมันเติมเครื่องบินสีเขียว ที่มาจากน้ำมันทำกับข้าวใช้แล้ว เศษอาหาร สินค้าเกษตร นำมากลั่นใหม่กลายเป็น น้ำมันสีเขียวสำหรับเครื่องบิน โปรตีนไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์มาจากผงแมลง ทั้งนี้แต่ละบริษัทที่จะมาลงทุน ภายในปี2050 จะต้องลด Carbon Footprint ให้ได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะมากับธุรกิจและสังคมสีเขียว 3.เทคโนโลยีกับเอไอ ได้ดึงดูดการลงทุนให้เข้ามาในประเทศ ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แทบเล็ต มือถือ Tele Medicine ที่ประเทศไทยสามารถใช้โอกาสเทคโนโลยีแพร่กระจายไปทั่วโลก ในการนำไปต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ ในส่วนของการใช้ เอไอ มากที่สุดพบว่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับ สุขภาพ รองลงไปเกี่ยวกับธุรกิจการจัดการข้อมูล การเงิน การค้าปลีก ขณะเดียวกันการเข้ามาตั้งบริษัทดาต้า เซ็นเตอร์ ที่เข้ามาตั้งในประเทศไทย เมื่อมาตั้งแล้ว จะต้องลดคาร์บอนได้ แต่ละอุตสาหกรรมล้วนผูกกัน ซึ่งถือเป็นโอกาส การใช้เทคโนโลยีเอไอ ในการนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ได้เช่นกัน
People Also Search
- เปิด 4 เมกะเทรนด์ปี 2024 ปลดครหาฟอกเขียว ธุรกิจยั่งยืนโลกรัก - ESG Universe
- [Esguniverse] เปิด 4 เมกะเทรนด์ปี 2024 ปลดครหาฟอกเขียว ธุรกิจยั่งยืนโลก ...
- เปิด 4 เมกะเทรนด์ พลิกโฉมเศรษฐกิจโลก ธุรกิจไทยต้องปรับตัวด่วน
- ESG Universe - ปี 2024 ทางแยกธุรกิจฟอกเขียว ไม่ได้ไปต่อ...
- เปิด 5 Sustainability Trends 2024 เทรนด์ความยั่งยืน ที่เปลี่ยนโลก
- ก้าวข้ามการ 'ฟอกเขียว' - KPMG Thailand
- สรุปประเด็นสำคัญ เทรนด์ Esg สู่ ปี 2024 ความเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่จะมา ...
- เปิด '4 เมกะเทรนด์โลก' พลิกวิกฤติสู่โอกาสครั้งใหญ่ของไทย
- กิริฎา เปิดงานวิจัย 4 เมกะเทรนด์โลก ต่อยอดธุรกิจใหม่ ดันไทยสู่เวทีโลก
- ส่องเมกะเทรนด์ธุรกิจใหม่ มุ่งสู่ "ลดคาร์บอน" มาแรง! ดันไทยสู่เวทีสากล
หลังจากเวที COP28 (Conference Of The Parties ครั้งที่ 28) ณ ดูไบ
หลังจากเวที COP28 (Conference of the Parties ครั้งที่ 28) ณ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีบทสรุปทิศทางการเคลื่อนทุน นโยบาย และสังคมทั่วโลก ไปสู่การเพิ่มความเข้มข้นมากกว่าสัญญาทางใจ หรือ แค่ภาคสมัครใจ มาสู่พันธสัญญาแห่งการต้องลงมือทำ (In Action) มีกลไกการติดตาม และมีเงื่อนไขเวลา เพื่อร่วมมือกันควบคุมอุณหภูมิบนโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศา มีความเข้มข้น ลงมือปฏิบัติสร้างกรอบการทำงานให้สมาชิ...
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีสัมมนา “Future Forum 2025: – Great Transformation”
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีสัมมนา “Future Forum 2025: – Great Transformation” ซึ่งมีนักวิชาการและผู้นำภาคธุรกิจเข้าร่วมกว่า 250 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยการตื่นตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาและได้รับการยอมรับตรงกันคือ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ “The Great Transformation” ครั้...
การมาถึงของกรอบแนวคิดเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่คำนึงถึงประเด็นพื้นฐานใน 3 มิติที่สำคัญ ได้แก่ มิติสิ่งแวดล้อม (Environmental: E) มิติสังคม (Social:
การมาถึงของกรอบแนวคิดเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่คำนึงถึงประเด็นพื้นฐานใน 3 มิติที่สำคัญ ได้แก่ มิติสิ่งแวดล้อม (Environmental: E) มิติสังคม (Social: S) และมิติธรรมาภิบาล (Governance: G) หรือ “ESG: Environmental, Social, and Governance” ยังตอกย้ำการสร้างความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาว่าต้องการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องเป็นการเริ่มลงมือปฏิบัติแบบจริงจัง เห็นผลเชิงประจั...
กรุงเทพฯ 22 มิถุนายน 2566 – รายงานขององค์การสหประชาชาติเรื่องการฟอกเขียวได้รับการเผยแพร่ ณ ที่ประชุมภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 27 (UN
กรุงเทพฯ 22 มิถุนายน 2566 – รายงานขององค์การสหประชาชาติเรื่องการฟอกเขียวได้รับการเผยแพร่ ณ ที่ประชุมภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 27 (UN Climate Change Conference of the Parties: COP27) ภายใต้ชื่อ 'ความซื่อสัตย์: ความมุ่งมั่นสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยธุรกิจ สถาบันการเงิน เมืองต่างๆ และภูมิภาค' รายงานดังกล่าวจัดทำโดยคณะทำงานซึ่งเป็นที่...
หากมองในระดับภูมิภาค อาเซียนกำลังกลับมาเป็นจุดสนใจของการลงทุนระดับโลกอีกครั้ง หลังวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้สัดส่วนการลงทุนลดลงอย่างฮวบฮาบ ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนโดยตรงในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากประมาณ 5% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็น 17%
หากมองในระดับภูมิภาค อาเซียนกำลังกลับมาเป็นจุดสนใจของการลงทุนระดับโลกอีกครั้ง หลังวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้สัดส่วนการลงทุนลดลงอย่างฮวบฮาบ ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนโดยตรงในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากประมาณ 5% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็น 17% ในปี 2566 และมีแนวโน้มจะพุ่งสูงขึ้นถึง 20-25% ในอนาคต การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ที...