เพื่อคนรักษ์โลกต้องทํายังไง ไม่ให้กลยุทธ์แบรนด์กลายเป็น Greenwashing

Leo Migdal
-
เพื่อคนรักษ์โลกต้องทํายังไง ไม่ให้กลยุทธ์แบรนด์กลายเป็น greenwashing

แค่พิมพ์รักษ์โลกไม่พอ! สร้างแบรนด์จริงใจ ไม่ Greenwash <style id="wpr-lazyload-bg-nostyle"></style> const rocket_pairs = []; const rocket_excluded_pairs = []; ในยุคที่ผู้บริโภคใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การสื่อสารความเป็นมิตรต่อโลกกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญของหลายธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคในปี 2026 ก็มีความชาญฉลาดและเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถแยกแยะระหว่างแบรนด์ที่มุ่งมั่นรักษ์โลกจริงกับแบรนด์ที่ทำเพียงผิวเผินเพื่อสร้างภาพลักษณ์ได้ ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ การสร้างจุดยืนที่แตกต่างและน่าจดจำเป็นสิ่งสำคัญ แต่สำหรับแบรนด์ที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในปัจจุบันและอนาคต คำตอบอาจไม่ใช่แค่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดี แต่คือการสร้างความไว้วางใจผ่านการดำเนินงานที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ แค่พิมพ์รักษ์โลกไม่พอ! สร้างแบรนด์จริงใจ ไม่ Greenwash คือความท้าทายที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญ การสื่อสารเรื่องความยั่งยืนโดยปราศจากการลงมือทำจริง ไม่เพียงแต่จะล้มเหลวในการสร้างความเชื่อมั่น แต่ยังอาจนำไปสู่ข้อครหาเรื่อง “การฟอกเขียว” หรือ Greenwashing ซึ่งเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของแบรนด์อย่างร้ายแรง บทความนี้จะเจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่างการตลาดสีเขียวที่แท้จริงกับการฟอกเขียว พร้อมนำเสนอกลยุทธ์ที่จับต้องได้สำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SME เพื่อสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคยุคใหม่

ก่อนที่จะสร้างแบรนด์รักษ์โลกอย่างจริงใจ การทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่าง Greenwashing เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจทำลายความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาได้ โลกร้อนขึ้นทุกวันในระดับที่เชื่อว่าหลายคนก็คงสัมผัสได้ ทั้งยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรื่องนี้จึงกลายเป็นอีกประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสนใจกันมากขึ้น โดยเราจะเห็นได้จากเทรนด์ต่าง ๆ เช่น #Wearวนไป ที่ชวนกันมาใส่เสื้อผ้าซ้ำเพื่อลดการบริโภคแบบ Fast Fashion หรือจากรายงานพฤติกรรมผู้บริโภคที่เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมของทุกคนเริ่มเปลี่ยนไปใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น อย่างกระแสของรถยนต์ไฟฟ้าที่ Google Year in Search Thailand 2022 ระบุว่าผู้บริโภคในไทยค้นหาเพิ่มมากขึ้นกว่า 90% ด้วยเช่นกันเมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ความคาดหวังที่มีต่อแบรนด์ก็มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากรายงานของ BBDO Asia พบว่าผู้บริโภคในเอเชีย 44% ชื่นชอบแบรนด์ที่ทำสิ่งที่ดีต่อชุมชนและต่อโลกของเรา ในขณะที่อีก 40% ชอบแบรนด์ที่มีจุดยืนและสนับสนุนในประเด็นที่พวกเขาให้ความสนใจ ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ เริ่มออกมาทำแคมเปญ... จากตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าแม้แบรนด์จะมีกิจกรรม มีการรณรงค์ต่าง ๆ ให้ดูเหมือนแบรนด์ใส่ใจโลกมากขึ้น แต่เมื่อมองอย่างรอบด้าน ผู้บริโภคที่สนใจสิ่งแวดล้อมจริง ๆ ก็จะดูออกได้ทันทีว่านี้เป็นเพียงความฉาบฉวยที่แบรนด์สร้างขึ้นมาเพื่ออยากเอาใจ ในขณะที่ผู้บริโภคทั่วไปก็อาจเข้าใจผิดได้จากการที่แบรนด์ใช้คำเพียงว่า “เพื่อสิ่งแวดล้อม”สุดท้าย เมื่อการตลาดแบบฟอกเขียวถูกเปิดเผยความจริง แบรนด์ก็จะสูญเสียความน่าเชื่อถือลงไปทันที ทำให้อาจไม่มีผู้บริโภคมาสนับสนุนสินค้า และอาจสร้างการบอกต่อในแง่ลบที่เกี่ยวกับแบรนด์ได้แล้วจะทำอย่างไรถึงจะถูกใจผู้บริโภคสายรักษ์โลก และไม่ให้การตลาดของแบรนด์เป็นเพียงการฟอกเขียว? ลองมาดูคำแนะนำที่เราเอามาฝากกันครับ เริ่มจากเป้าหมายเล็กสู่เป้าหมายใหญ่การสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมอาจต้องใช้เวลา แต่แบรนด์ของคุณเองก็สามารถทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าเราตั้งใจจริงด้วยการเริ่มจากเป้าหมายเล็ก ๆ ก่อนได้ครับ เพราะการทำแบบนี้จะช่วยให้แบรนด์สามารถประเมินตัวเองได้ว่า ตอนนี้แบรนด์ทำได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งยังเป็นการค่อย ๆ ทำให้ผู้บริโภคเชื่อใจจากการที่แบรนด์สามารถทำได้จริงตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ทั้งนี้เป้าหมายนั้น ๆ ควรเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนด้วยนะครับ ทุกคนในแบรนด์ควรทำให้เหมือนกันที่ต้องพูดถึงการปฎิบัติเป็นทิศทางเดียวกันของแบรนด์ นั่นเป็นเพราะว่าบางครั้งเมื่อแบรนด์ประกาศเป้าหมายหรือแนวทางการปฎิบัติออกไปแล้ว แต่มีคนในองค์กรที่ไม่ได้เคร่งครัดทำตาม หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่แบรนด์กำลังจะทำ เช่น แบรนด์ประกาศงดแจกถุงพลาสติก แต่ถ้ามีคนขอ พนักงานหน้าร้านก็แอบให้ ก็อาจทำให้แบรนด์ต้องเผชิญกับ Crisis ได้เหมือนกัน เพราะผู้บริโภคอาจเข้าใจผิดและคิดว่าแบรนด์ไม่จริงใจกันได้แบบง่าย ๆการทำให้ทุกคนในแบรนด์ของคุณเข้าใจและปฎิบัติตรงกัน ตั้งแต่ผู้บริหารไปจนพนักงานในทุกระดับ รวมไปทั้งคนที่ทำหน้าที่ดูแลภาพลักษณ์ของแบรนด์ เช่น แอดมินเพจที่ช่วยตอบปัญหาของผู้บริโภค ก็จะช่วยให้ผู้บริโภคเห็นว่าแบรนด์ของคุณไม่ได้คิดจะทำฟอกเขียวแต่อย่างใด แบรนด์นี้ทำจริง และช่วยกันทำทุกคนทั้งบริษัท ทุกเป้าหมายต้องตรวจสอบได้ความโปร่งใสถือเป็นหัวใจสำคัญเลยก็ว่าได้ครับ เพราะไม่ว่าแบรนด์จะโชว์ผลลัพธ์เป็นตัวเลขว่าทำได้จริง หรือโชว์ภาพกิจกรรมสวย ๆ แต่หากตรวจสอบไม่ได้ก็อาจทำให้เสียความน่าเชื่อถือลงไปได้มากเหมือนกันการที่แบรนด์ของคุณจะทำอะไรจึงควรต้องมีการระบุวิธีที่ชัดเจน มีใบรับรองจากองค์กรที่เชื่อถือได้ หรือมีการรายงานผลการทำงานให้ติดตาม เช่น หากแบรนด์มีเป้าหมายใช้วัสดุรีไซเคิล 100% ภายในปี 2023 ก็ควรระบุความคืบหน้า ที่มาของวัสดุ วิธีการรีไซเคิล หรือแม้แต่รายงานปัญหาก็ได้ครับ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นว่าแบรนด์พร้อมที่จะเปลี่ยน มีการวางแผน และลงมือทำจริงแบบไม่ได้มาเล่น ๆ นะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก: / ////.#CreatexHouse #Greenwashing #GreenMarketing “ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100%” “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” “บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้” ในยุคที่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แบรนด์ต่าง ๆ ก็พยายามปรับตัวและสื่อสารว่า พวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา แต่เคยสงสัยไหมว่าแบรนด์ที่บอกว่ารักษ์โลกนั้น… จริงใจแค่ไหน? เบื้องหลังคำโฆษณาสวยหรู อาจมี “กับดัก” ที่เรียกว่า Greenwashing ซ่อนอยู่ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เข้าใจผิด แต่ยังสามารถทำลายความเชื่อมั่น ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์จนหมดสิ้นได้ในพริบตา The BusinessSauce จะพาไปทำความรู้จักว่า Greenwashing คืออะไร พร้อมเปิด 7 สัญญาณเตือน “การฟอกเขียว” ที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องรู้ทัน! Greenwashing หรือที่หลายคนเรียกว่า “การฟอกเขียว” คือกลยุทธ์ทางการตลาด ที่บริษัทใช้เวลา ทรัพยากร และงบประมาณไปกับการสร้างภาพ ให้ตัวเองดูเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าการลงมือทำจริง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม หรือพูดให้ดูดี แต่ทำจริงน้อยมาก (หรือไม่ได้ทำเลย) คือการใช้คำพูดหรือรูปภาพ ที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด ว่าผลิตภัณฑ์หรือองค์กรนั้น ๆ มีความยั่งยืนและใส่ใจโลก ทั้งที่ความจริงแล้ว อาจจะยังคงสร้างผลกระทบทางลบ ต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนเดิม หรือทำดีเพียงเล็กน้อยแต่โฆษณาเกินจริงไปมาก เพราะในระยะสั้น Greenwashing อาจช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่ในระยะยาว เมื่อผู้บริโภคจับได้ว่า สิ่งที่แบรนด์สื่อสารไม่ใช่ความจริง ความไว้วางใจที่เคยมีจะพังทลายลง การกู้คืนชื่อเสียงนั้น ยากและแพงกว่าการทำธุรกิจอย่างโปร่งใส ตั้งแต่แรกหลายเท่านัก

วิเคราะห์กลยุทธ์และธุรกิจ รวมถึงอัปเดตข่าวใหม่ๆ ผู้บริโภค โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials ใช้กำลังซื้อเป็นอาวุธในการสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อโลก การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย (Purpose-Driven Marketing) จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น อย่างไรก็ตาม การสื่อสารเรื่อง ESG และ Brand Purpose โดยขาดความจริงใจ อาจนำไปสู่หายนะที่เรียกว่า “Greenwashing” ซึ่งทำลายความเชื่อมั่นของแบรนด์ในระยะยาว การสร้างโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย (Purpose-Driven Ad) จึงต้องมีกลยุทธ์ที่ลึกซึ้งกว่าแค่การกล่าวอ้าง บทความนี้จะเปิดเผยวิธีสื่อสารพันธกิจ ESG ให้ “จริงใจ” และสร้างความภักดีจากลูกค้าอย่างยั่งยืน โฆษณาที่ประสบความสำเร็จจะต้องสะท้อนถึง Brand Purpose ที่ถูกฝังอยู่ในกระบวนการหลักของธุรกิจ ไม่ใช่เป็นเพียงกิจกรรม CSR ที่ถูกทำขึ้นอย่างฉาบฉวย การสื่อสาร Purpose-Driven Ad ต้องเน้นความโปร่งใสและการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Gen Z เคารพ ทุกวันนี้ผู้บริโภคให้คุณค่ากับความยั่งยืน ซึ่งถือว่าพอๆกันกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แบรนด์ต่างๆจึงตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน ที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environment) จนเราได้เห็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจ และมีหลากหลายธุรกิจเกิดขึ้นใหม่ ที่มุ่งหน้าไปสู่ความยั่งยืน พร้อมการสื่อสารออกไปว่า “เรากำลังจะมุ่งสู่ความยั่งยืน” เพื่อโลกใบนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคำกล่าวอ้างที่ว่าความเป็น “สีเขียว” (Green) นั้นจะเป็นของจริงเสมอไป

แต่ด้วยการกระทำที่ “ไม่ได้มุ่งมั่นตั้งใจอย่างแท้จริง” ที่พยายามจะผลักดันธุรกิจ ไปสู่ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ของความยั่งยืนที่ว่า โลกของ “การฟอกเขียว” (Greenwashing) ซึ่งกลายเป็นกับดักทางการตลาด ที่สามารถทำลายความไว้วางใจ (Trust) และสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) จนไม่สามารถแก้ไขได้ ในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมาสำรวจครับว่า การฟอกเขียว (Greenwashing) คือ อะไร ทำไมแบรนด์และธุรกิจถึงเข้ามามีส่วนร่วมกับสิ่งนี้ และสิ่งนี้สร้างความเสียหายได้มากเพียงใด Greenwashing หรือ “การฟอกเขียว” เป็นคำที่ใช้สื่อถึงการตลาด ที่ทำให้เข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์ บริการ หรือบริษัทนั้นๆ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าความเป็นจริง โดยอยากให้ลองนึกภาพว่า คุณอาจเห็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่มีรูปใบไม้สีเขียวเต็มไปหมดและมีคำว่า “เป็นมิตรต่อธรรมชาติ 100%” แต่พอพลิกฉลากดู อาจพบว่ามีสารเคมีรุนแรงที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอยู่มากมาย โดยหากจะบอกว่าคำว่า “ฟอก” ในที่นี้ก็เหมือนกับการทำ “เงินสกปรกให้ดูสะอาด” ก็ไม่น่าจะผิดอะไร เพราะการฟอกเขียว ก็คือ การ “ฟอก” ภาพลักษณ์ที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้ดูเป็นมิตรขึ้นมาทั้งๆที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงภายใน และเหตุผลหลักๆที่ต้องมีการฟอกเขียว (Greenwashing) ก็มี ดังนี้ ก็คือ การแสร้างว่าทำเพื่อสิ่งแวดล้อม ให้เป็นผลิตภัณฑ์ ธุรกิจ องค์กรหรือแบรนด์ดูเป็นสีเขียว รักษ์โลก ยั่งยืน ที่เป็นเพียงแค่คำพูดลอยๆ แต่ไร้ซึ่งการกระทำเพียงเพื่อเป้าหมายบางอย่าง ในยุคที่ “ภาวะโลกร้อน” เป็นปัญหาสำคัญ ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น Green Marketing จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่องค์กร หรือแบรนด์ต่าง ๆ มักนำมาใช้ แต่หากองค์กรวางแผนกลยุทธ์อย่างไม่ระมัดระวัง จากการตลาดสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม อาจกลายเป็นการฟอกเขียว หรือ Greenwashing แทนได้ บทความนี้ SPARK Factor มีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ ข้อแตกต่าง Green Marketing VS Greenwashing ยั่งยืนจริงหรือแค่หลอก มากฝากกัน

ก่อนจะไปเจาะลึกถึงข้อแตกต่างระหว่าง Green Marketing และ Greenwashing ที่หลายคนอาจเข้าใจผิด มาดูกันก่อนว่าแท้จริงแล้วทั้ง 2 คำมีความหมายว่าอะไรบ้าง Green Marketingหรือการตลาดสีเขียว คือ การวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ตั้งแต่กระบวนการผลิต การสื่อสาร ไปจนถึงการจัดจำหน่าย ยกตัวอย่างเช่น เนื่องจากในทุก ๆ ปี มีเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้แล้วถูกทิ้งกว่าล้านชิ้น IKEA เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงเกิดเป็น “บริการซื้อ-ขายเฟอร์นิเจอร์อิเกียที่ใช้แล้ว” ขึ้นมา โดยลูกค้าสามารถนำเฟอร์นิเจอร์อิเกียที่ใช้แล้ว มาประเมินราคาที่สาขา ทางพนักงานจะทำการประเมินราคา และจ่ายเป็นบัตรของขวัญตามจำนวนเงินที่ประเมินได้ หลังจากนั้นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นจะถูกนำไปขายในแผนกสินค้าตามสภาพ ความยั่งยืนยังคงสำคัญ... แต่ผู้บริโภคกำลังจับตา "Greenwashing"ในโลกธุรกิจปัจจุบัน ความยั่งยืน ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำศัพท์ที่น่าสนใจอีกต่อไป แต่กลายเป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวนี้ ผู้บริโภคก็มีความระมัดระวังและเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียกว่า "Greenwashing" หรือการที่ธุรกิจอ้างว่าตนเองเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีความยั่งยืน โดยปราศจากหลักฐานที่แท้จริง ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งแนวโน้ม: ทำไมความยั่งยืนจึงสำคัญ และ Greenwashing กำลังถูกจับตา?* ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น: ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials มีความตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น พวกเขาพร้อมที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อโลกและชุมชน และคาดหวังให้ธุรกิจทำมากกว่าแค่แสวงหาผลกำไร* การเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายขึ้น: ด้วยอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และแนวปฏิบัติของบริษัทได้ง่ายขึ้น พวกเขาสามารถเปรียบเทียบข้อมูล, อ่านรีวิว, หรือแม้กระทั่งสืบค้นเบื้องหลังการผลิต* แรงกดดันจากสังคมและกฎหมาย: ทั้งองค์กรภาคประชาสังคมและหน่วยงานภาครัฐเริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนมากขึ้น... ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ตามรายงานของเอเจนซี่ Kantar ในเมืองลอนดอน ประมาณ 60% ของผู้บริโภคชาวเอเชียยินดีที่จะลงทุนเวลาและเงินมากขึ้นสำหรับบริษัทที่สนับสนุนสังคมและสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจเพิ่มเติมของ Bain and Company เผยให้เห็นว่าความท้าทายหลักๆของการใช้จ่ายอย่างยั่งยืนสำหรับผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็คือการที่มีข้อมูลไม่เพียงพอและความไม่เชื่อใจในคำกล่าวอ้างของแบรนด์ แบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกผิดเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติ หรือที่เรียกว่า greenwashing สามารถทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อชื่อเสียงของแบรนด์ และที่แย่ไปกว่านั้นคือมันอาจจะไม่ใช่เจตนาของธุรกิจเสมอไป และสิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยผลกระทบ แล้วองค์กรต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะหลีกเลี่ยงหลุมพรางของ greenwashing และยึดมั่นในคำพูดของพวกเราได้อย่างไร การร่วมมือกับเอเจนซี่การตลาดที่ยั่งยืนที่มีประสบการณ์เป็นหนึ่งในวิธีที่คุณสามารถให้ความไว้วางไจได้ แต่ก็มีขั้นตอนพื้นฐานบางข้อที่คุณสามารถนำไปใช้เพื่อป้องกันก่อนได้เช่นกัน Greenwashing หรือ การฟอกเขียว มีต้นแบบมาจากคำว่า “whitewashing” เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จหรือคลุมเครือเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์หรือบริการ สิ่งนี้จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดยอดนิยมสำหรับธุรกิจต่างๆ ซึ่งเริ่มมาจากการที่ผู้บริโภคมีความรักษ์โลกมากขึ้น ตัวอย่างเช่น กรณีของ Singapore Grand Prix (SGP) ที่ถูกกล่าวหาเรื่อง greenwashing เมื่อผู้จัดงานอ้างว่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของพวกเขายังดำเนินการอยู่ตามที่วางแผนไว้ นักวิจารณ์ได้แย้งว่า SGP เพิกเฉยต่อปริมาณคาร์บอนจำนวนมหาศาลจากการแข่งขันรถเอง และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆเกี่ยวกับปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ถูกปล่อยจริงระหว่างการแข่งขัน Greenwashing มีความหมายตรงตัวเลยคือ ‘การฟอกเขียว’ คือการตลาดที่แบรนด์ใช้วิธีสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูเหมือนว่าใส่ใจสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ แต่เบื้องหลังไม่ได้ทำแบบที่กล่าวอ้างหรือไม่ได้มีการปฏิบัติเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เป็นการสื่อสารที่จงใจให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่า เป็นแบรนด์ Eco Friendly จะเรียกว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์ว่ารักษ์โลกก็ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วแบรนด์ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือมีส่วนช่วยลดปัญหาที่เกี่ยวกับความยั่งยืนของโลกได้จริงตามที่บอกไป และทำเพื่อต้องการเพิ่มยอดขายให้ตัวเองและโน้มน้าวใจให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ ซึ่งการตลาดแบบ Greenwashing นั้นมีหลากหลายแบบ ขอยกตัวอย่างพฤติกรรมที่ดูเป็นการฟอกเขียวให้เห็นภาพชัด ๆ กันมากขึ้น เช่น

5 สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าแบรนด์กำลังทำ Greenwashing ที่ผ่านมีการใช้การตลาดการฟอกเขียวหลากหลายรูปแบบและมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนผู้บริโภคนั้นดูออกยากว่าอันไหนคือรักษ์โลกจริง หรือแค่ Greenwashing นะ ลองสังเกตจากปัจจัยที่เรากำลังจะบอกดูก็ได้ แนวทางสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

People Also Search

แค่พิมพ์รักษ์โลกไม่พอ! สร้างแบรนด์จริงใจ ไม่ Greenwash <style Id="wpr-lazyload-bg-nostyle"></style> Const Rocket_pairs = [];

แค่พิมพ์รักษ์โลกไม่พอ! สร้างแบรนด์จริงใจ ไม่ Greenwash <style id="wpr-lazyload-bg-nostyle"></style> const rocket_pairs = []; const rocket_excluded_pairs = []; ในยุคที่ผู้บริโภคใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การสื่อสารความเป็นมิตรต่อโลกกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญของหลายธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคในปี 2026 ก็มีความชาญฉลาดและเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถแยกแยะระหว่างแบรนด์ที่มุ่งมั่นรักษ์โลกจริง...

ก่อนที่จะสร้างแบรนด์รักษ์โลกอย่างจริงใจ การทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่าง Greenwashing เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจทำลายความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาได้ โลกร้อนขึ้นทุกวันในระดับที่เชื่อว่าหลายคนก็คงสัมผัสได้ ทั้งยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรื่องนี้จึงกลายเป็นอีกประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสนใจกันมากขึ้น โดยเราจะเห็นได้จากเทรนด์ต่าง ๆ

ก่อนที่จะสร้างแบรนด์รักษ์โลกอย่างจริงใจ การทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่าง Greenwashing เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจทำลายความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาได้ โลกร้อนขึ้นทุกวันในระดับที่เชื่อว่าหลายคนก็คงสัมผัสได้ ทั้งยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรื่องนี้จึงกลายเป็นอีกประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสนใจกันมากขึ้น โดยเราจะเห็นได้จากเทรนด์ต่า...

ขอบคุณข้อมูลจาก: / ////.#CreatexHouse #Greenwashing #GreenMarketing “ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100%” “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” “บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้” ในยุคที่ผู้บริโภคอย่างเรา

ขอบคุณข้อมูลจาก: / ////.#CreatexHouse #Greenwashing #GreenMarketing “ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100%” “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” “บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้” ในยุคที่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แบรนด์ต่าง ๆ ก็พยายามปรับตัวและสื่อสารว่า พวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา แต่เคยสงสัยไหมว่าแบรนด์ที่บอกว่ารักษ์โลกนั้น… จริงใจแค่ไหน? เบื้องหลังคำโฆษณาสวยหรู อาจมี “กับดัก” ที่เรียกว่า Greenwash...

วิเคราะห์กลยุทธ์และธุรกิจ รวมถึงอัปเดตข่าวใหม่ๆ ผู้บริโภค โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials ใช้กำลังซื้อเป็นอาวุธในการสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อโลก การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย

วิเคราะห์กลยุทธ์และธุรกิจ รวมถึงอัปเดตข่าวใหม่ๆ ผู้บริโภค โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials ใช้กำลังซื้อเป็นอาวุธในการสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อโลก การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย (Purpose-Driven Marketing) จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น อย่างไรก็ตาม การสื่อสารเรื่อง ESG และ Brand Purpose โดยขาดความจริงใจ อาจนำไปสู่หายนะที่เรียกว่า “Greenwashing” ซึ่งทำลายความเชื่อมั่นของแบรนด์ในระยะยา...

แต่ด้วยการกระทำที่ “ไม่ได้มุ่งมั่นตั้งใจอย่างแท้จริง” ที่พยายามจะผลักดันธุรกิจ ไปสู่ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ของความยั่งยืนที่ว่า โลกของ “การฟอกเขียว” (Greenwashing) ซึ่งกลายเป็นกับดักทางการตลาด ที่สามารถทำลายความไว้วางใจ

แต่ด้วยการกระทำที่ “ไม่ได้มุ่งมั่นตั้งใจอย่างแท้จริง” ที่พยายามจะผลักดันธุรกิจ ไปสู่ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ของความยั่งยืนที่ว่า โลกของ “การฟอกเขียว” (Greenwashing) ซึ่งกลายเป็นกับดักทางการตลาด ที่สามารถทำลายความไว้วางใจ (Trust) และสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) จนไม่สามารถแก้ไขได้ ในบทความนี้ผมจะพาผู้อ่านมาสำรวจครับว่า การฟอกเขียว (Greenwashing) คือ ...