ผลกระทบจากการที่กระแสน้ําวนรอบขั้วโลก บีบีซีไทย Bbc Thai Facebook
กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้ ด้วยพลังการเคลื่อนตัวที่แรงกว่ากระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม (AMOC) ถึง 5 เท่า และไหลเชี่ยวกรากยิ่งกว่าแม่น้ำแอมะซอนถึง 100 เท่า กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน, และแร่ธาตุสารอาหารไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยสายพานลำเลียงนี้เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน ทั้งยังทำหน้าที่ควบคุมสภาพภูมิอากาศของโลกทั้งใบด้วย แต่ทว่าน้ำจืดเย็นที่ละลายออกมาจากน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา ได้เจือจางน้ำเค็มของมหาสมุทรแอนตาร์กติกให้มีความเข้มข้นลดลง จนถึงระดับที่อาจไปรบกวนกระแสน้ำสำคัญในมหาสมุทรดังกล่าวได้ ผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิจัยออสเตรเลีย จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเพิ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Research Letters ฉบับวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่ากระแสน้ำเอซีซีอาจไหลช้าและอ่อนแรงลงกว่าในปัจจุบันถึง 20% ภายในปี 2050 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสรรพชีวิตบนโลก กระแสน้ำเอซีซีนั้นเปรียบเสมือน "คูน้ำ" ซึ่งล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกาที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง โดยช่วยกั้นขวางไม่ให้กระแสน้ำอุ่นเข้ามาใกล้ จนสามารถปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่บอบบางไม่ให้ละลายได้ นอกจากนี้ กระแสน้ำเอซีซียังทำหน้าที่เหมือนกำแพงป้อมปราการ ซึ่งขัดขวางไม่ให้สิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานเข้ามา อย่างเช่นสาหร่ายทะเลกระทิงใต้ (southern bull kelp) ซึ่งมีขนาดใหญ่และเกาะตัวกันเป็นแพขนาดมหึมา
เมื่อเดือน ก.พ.ของปีที่แล้ว มีรายงานข่าวว่ากระแสน้ำ Atlantic Meridional Overturning Circulation (AMOC) หรือกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม ซึ่งเป็นสายธารหลักในมหาสมุทรแอตแลนติก ได้อ่อนกำลังลงถึงระดับต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งพันปี และอาจหยุดไหลเวียนภายในช่วงสิ้นศตวรรษนี้ ล่าสุดมีการวิจัยถึงผลกระทบจากปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย ระบุในผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Climate Change ว่าภูมิอากาศทั่วโลกรวมทั้งพื้นที่นอกเขตอิทธิพลกระแสน้ำ AMOC ในยุโรปและอเมริกาเหนือ จะพลอยได้รับผลสะเทือนไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำที่ไหลช้าลงเรื่อย ๆ จะให้กำเนิด "ภูมิอากาศโลกแบบใหม่" ที่มีสภาพคล้ายปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) มากขึ้น โดยภาวะฝนตกชุกและอากาศเย็นผิดปกติจะครอบคลุมไปถึงเขตร้อนและพื้นที่ใต้เส้นศูนย์สูตร ไกลถึงออสเตรเลียและทวีปแอนตาร์กติกาเลยทีเดียว ทำให้พื้นที่เหล่านี้ต้องเผชิญพายุฝนและอุทกภัยรุนแรงขึ้น ในขณะที่ทางตะวันตกของอเมริกาเหนือและยุโรปกลับต้องเผชิญภัยแล้งและไฟป่าหนักกว่าเดิม มีการใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ของระบบภูมิอากาศโลกในปัจจุบัน มาทำนายสภาพการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อกระแสน้ำ AMOC หยุดไหล ซึ่งทีมผู้วิจัยพบว่าจะมีความร้อนสะสมตัวที่บริเวณใต้เส้นศูนย์สูตรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความร้อนนี้จะดันให้อากาศที่อุ่นและชื้นขึ้นไปยังบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ ซึ่งสูงจากพื้นโลกราว 10 กิโลเมตร และทำให้อากาศแห้งเคลื่อนลงมายังแถบตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก อากาศแห้งดังกล่าวจะหนุนให้ลมการค้า (trade winds) พัดรุนแรงขึ้น ซึ่งก็จะดันให้กระแสน้ำอุ่นเข้าถึงน่านน้ำของประเทศอินโดนีเซียมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้พื้นที่เขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกเผชิญกับสภาพอากาศแบบลานีญาที่รุนแรง อย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน “กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้” (Antarctic Circumpolar Current) เป็นกระแสน้ำตามเข็มนาฬิกาที่แรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่เชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียถึง 5 เท่า อีกทั้งแรงกว่าแม่น้ำแอมะซอน 100 เท่า นับเป็นกระแสน้ำที่มีบทบาทสำคัญในระบบสภาพอากาศ โดยมีอิทธิพลต่อการดูดซับความร้อนและคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทร และป้องกันไม่ให้น้ำอุ่นไหลไปถึงแอนตาร์กติกา
กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters เผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างน้ำแข็งละลายจากชั้นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา และกระแสน้ำรอบขั้วโลกที่ไหลช้าลง ซึ่งเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากมีรายงานอีกฉบับที่พบว่า กระแสน้ำที่สำคัญในมหาสมุทรแอตแลนติกจะอ่อนกำลังลง นักวิจัยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และ Gadi เครื่องจำลองสภาพอากาศที่เร็วที่สุดของออสเตรเลีย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การละลายของน้ำแข็ง และสภาพลมที่มีต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โดยแบบจำลองนี้จับภาพคุณลักษณะที่คนอื่นมักมองข้าม เช่น กระแสน้ำวน ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่แม่นยำกว่ามาก ในการคาดการณ์อนาคตนี้ พบว่า น้ำแข็งที่ละลายจากทวีปแอนตาร์กติกาจะอพยพไปทางเหนือและเติมเต็มมหาสมุทรที่ลึกลงไป ส่งผลให้โครงสร้างความหนาแน่นของมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ถือเป็น “การปรับโครงสร้างใหม่ของพลวัตของมหาสมุทรใต้” การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้วัฏจักรของน้ำ (water cycle) ระดับโลก ซึ่งเป็นกระบวนการที่น้ำระเหยกลายเป็นไอในชั้นบรรยากาศและควบแน่นตกลงมาเป็นฝน เริ่มหมุนเวียนไปจนครบรอบอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้พื้นที่ประสบภัยแล้งจะขาดแคลนน้ำยิ่งขึ้น ส่วนเขตมรสุมพายุฝนจะรุนแรงกว่าเก่าและเกิดอุทกภัยหนักขึ้น ผลการศึกษาข้างต้นเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุดจากดาวเทียม โดยทีมนักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลหลายแห่งของสเปน ซึ่งตีพิมพ์รายงานดังกล่าวลงในวารสาร Scientific Reports
ผลการศึกษาพบว่า การวัดค่าความเค็มหรือความเข้มข้นของแร่ธาตุ (salinity) ที่ผิวน้ำทะเล โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดอยู่กับทุ่นลอยน้ำในมหาสมุทรนั้น มีความคลาดเคลื่อนโดยต่ำกว่าค่าความเค็มที่แท้จริงอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันเราตรวจวัดค่าดังกล่าวได้แม่นยำขึ้น ด้วยการสำรวจอุณหภูมิและการระเหยของน้ำทางดาวเทียม ทีมผู้วิจัยระบุว่า ค่าความเค็มของผิวน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกตินั้น ชี้ถึงการที่ภาวะโลกร้อนทำให้บริเวณที่น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูง เกิดการระเหยกลายเป็นไอของผิวน้ำด้านบนมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น เพิ่มความชื้นในชั้นบรรยากาศ ซึ่งจะรวมตัวกันเป็นพายุฝนในเขตใกล้เส้นศูนย์สูตรและขั้วโลกทั้งสองมากขึ้น วัฏจักรของน้ำที่แปรปรวนดังกล่าว เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในรูปแบบที่เรียกได้ว่า "พื้นที่ชุ่มชื้นจะเปียกมากขึ้น พื้นที่แห้งก็จะแล้งยิ่งขึ้น" พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาในหลายจังหวัดภาคกลางกำลังเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมสูง เช่น จ.พระนครศรีอยุธยาที่ประสบปัญหาน้ำท่วมมากว่า 4 เดือนแล้ว ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็น 2,900 ลบ.ม./วินาที มาแล้วอย่างน้อย 2 วัน คลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติรายงานสถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยาวันนี้ (13 พ.ย.) พบว่ายังมีปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำเกือบเต็มความจุ โดยเขื่อนภูมิพลมีปริมาตรน้ำ 99.58% เขื่อนสิริกิติ์ 97.89% เขื่อนแควน้อย 101.47% และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 95.81% ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พบน้ำท่วมหลายจุดในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ทั้งในนนทบุรี ปทุมธานี รวมถึงบางส่วนของกรุงเทพฯ จากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA
ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา พื้นที่กรุงเทพเผชิญน้ำท่วมขังบนถนนหลายสายหลังฝนตกลงมากลางดึก ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำเหนือและระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเป็นน้ำท่วมขังระยะสั้นที่สามารถระบายได้แล้วในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ท่ามกลางสถานการณ์น้ำในจังหวัดตอนบนอย่าง จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง และ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ยังมีน้ำท่วมสูง จังหวัดตอนล่างลงมาอย่างกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต้องกังวลแค่ไหน ? ข้อมูลทางธรณีวิทยาระหว่างปี 1993-2010 บ่งชี้ว่า ทั่วโลกมีการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ในปริมาณมหาศาล จนส่งผลกระทบต่อลักษณะการกระจายตัวของแหล่งน้ำใต้ดิน ซึ่งทำให้แกนหมุนของโลกเสียสมดุลและเอียงไปทางทิศตะวันออกมากขึ้น ส่วนตำแหน่งของขั้วโลกทั้งเหนือและใต้ก็เคลื่อนที่ไปจากเดิมถึง 80 เซนติเมตร ดร.กี วอน ซอ นักธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซลของเกาหลีใต้และคณะ ได้ตีพิมพ์รายงานว่าด้วยผลการศึกษาข้างต้นลงในวารสาร Geophysical Research Letters ฉบับล่าสุด โดยชี้ว่าในบรรดาเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว การสูบน้ำบาดาลถือเป็นสาเหตุที่ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดต่อความเปลี่ยนแปลงของแกนหมุนโลก เมื่อปี 2016 เคยมีการค้นพบมาแล้วว่า รูปแบบการกระจายตัวของแหล่งน้ำใต้ดินที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งการละลายของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งเนื่องจากภาวะโลกร้อน สามารถส่งผลให้การกระจายตัวของมวลรอบแกนหมุนโลกเสียสมดุล จนแกนหมุนดังกล่าวต้องปรับแนวการวางตัวใหม่เพื่อชดเชยภาวะเสียสมดุลนั้น อย่างไรก็ตาม การศึกษาของ ดร.กี วอน ซอ จัดเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นผลกระทบทางธรณีวิทยา อันเนื่องมาจากการสูบน้ำบาดาลเกินขนาดอย่างชัดเจน โดยประมาณการว่าระหว่างปี 1993-2010 ทั่วโลกสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ราว 2,150 กิกะตัน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 6 มิลลิเมตรด้วย
ทีมผู้วิจัยสามารถประมาณการดังกล่าวได้ หลังสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์โดยใช้ข้อมูลการเคลื่อนตัวของขั้วโลกทั้งสองตำแหน่ง และข้อมูลการกระจายตัวของแหล่งน้ำที่มาจากการละลายตัวของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็ง
People Also Search
- กระแสน้ำวนรอบขั้วโลก ... - Bbc
- ผลกระทบจากการที่กระแสน้ำวนรอบขั้วโลก... - บีบีซีไทย - BBC Thai | Facebook
- กระแสน้ำมหาสมุทรแอตแลนติกใกล้หยุดไหล จ่อส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ...
- นักวิจัยเผย ภายในปี ค.ศ.2050 กระแสน้ำวนรอบรอบขั้วโลกใต้จะไหลอ่อนลง อาจ ...
- 'กระแสน้ำในมหาสมุทร' ช้าลง เพราะปล่อยคาร์บอนมากเกินไป ดันน้ำทะเลสูง
- Environman - #CLIMATE กระแสน้ำในมหาสุทรที่แรงที่สุดของโลกจะไหลช้าลง 20% ...
- โลกรวน : ข้อมูลดาวเทียม ... - Bbc
- น้ำเหนือกำลังมา ปีนี้น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ-ปริมณฑลไหม ? - BBC News ไทย
- มนุษย์สูบน้ำบาดาลเกินขนาด จนขั้วโลกเคลื่อนที่จากเดิมเกือบ 1 เมตร - Bbc ...
กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้
กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้ ด้วยพลังการเคลื่อนตัวที่แรงกว่ากระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม (AMOC) ถึง 5 เท่า และไหลเชี่ยวกรากยิ่งกว่าแม่น้ำแอมะซอนถึง 100 เท่า กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน...
เมื่อเดือน ก.พ.ของปีที่แล้ว มีรายงานข่าวว่ากระแสน้ำ Atlantic Meridional Overturning Circulation (AMOC) หรือกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม ซึ่งเป็นสายธารหลักในมหาสมุทรแอตแลนติก
เมื่อเดือน ก.พ.ของปีที่แล้ว มีรายงานข่าวว่ากระแสน้ำ Atlantic Meridional Overturning Circulation (AMOC) หรือกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม ซึ่งเป็นสายธารหลักในมหาสมุทรแอตแลนติก ได้อ่อนกำลังลงถึงระดับต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งพันปี และอาจหยุดไหลเวียนภายในช่วงสิ้นศตวรรษนี้ ล่าสุดมีการวิจัยถึงผลกระทบจากปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย ระบุในผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ลงในวาร...
กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters
กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters เผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างน้ำแข็งละลายจากชั้นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา และกระแสน้ำรอบขั้วโลกที่ไหลช...
ผลการศึกษาพบว่า การวัดค่าความเค็มหรือความเข้มข้นของแร่ธาตุ (salinity) ที่ผิวน้ำทะเล โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดอยู่กับทุ่นลอยน้ำในมหาสมุทรนั้น มีความคลาดเคลื่อนโดยต่ำกว่าค่าความเค็มที่แท้จริงอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันเราตรวจวัดค่าดังกล่าวได้แม่นยำขึ้น ด้วยการสำรวจอุณหภูมิและการระเหยของน้ำทางดาวเทียม ทีมผู้วิจัยระบุว่า ค่าความเค็มของผิวน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกตินั้น
ผลการศึกษาพบว่า การวัดค่าความเค็มหรือความเข้มข้นของแร่ธาตุ (salinity) ที่ผิวน้ำทะเล โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดอยู่กับทุ่นลอยน้ำในมหาสมุทรนั้น มีความคลาดเคลื่อนโดยต่ำกว่าค่าความเค็มที่แท้จริงอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันเราตรวจวัดค่าดังกล่าวได้แม่นยำขึ้น ด้วยการสำรวจอุณหภูมิและการระเหยของน้ำทางดาวเทียม ทีมผู้วิจัยระบุว่า ค่าความเค็มของผิวน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกตินั้น ชี้ถึงก...
ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา พื้นที่กรุงเทพเผชิญน้ำท่วมขังบนถนนหลายสายหลังฝนตกลงมากลางดึก ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำเหนือและระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเป็นน้ำท่วมขังระยะสั้นที่สามารถระบายได้แล้วในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ท่ามกลางสถานการณ์น้ำในจังหวัดตอนบนอย่าง จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง และ
ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา พื้นที่กรุงเทพเผชิญน้ำท่วมขังบนถนนหลายสายหลังฝนตกลงมากลางดึก ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำเหนือและระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเป็นน้ำท่วมขังระยะสั้นที่สามารถระบายได้แล้วในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ท่ามกลางสถานการณ์น้ำในจังหวัดตอนบนอย่าง จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง และ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ยังมีน้ำท่วมสูง จังหวัดตอนล่างลงมาอย่างกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต้องก...