มหาสมุทรทั่วโลกกําลัง มืดลง ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่อาจเปลี่ยนแปลงระบบ

Leo Migdal
-
มหาสมุทรทั่วโลกกําลัง มืดลง ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่อาจเปลี่ยนแปลงระบบ

นักวิจัยพบว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มหาสมุทรกว่า 21% ของโลก หรือประมาณ 75 ล้านตารางกิโลเมตร มีสีที่เข้มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในบริเวณกระแสน้ำกัลฟ์สตรีม มหาสมุทรอาร์กติก แอนตาร์กติกา และทะเลปิดอย่างทะเลบอลติก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Ocean Darkening หรือ “มหาสมุทรมืด” ซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณ Photic Zone หรือชั้นของน้ำทะเลที่แสงส่องถึง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทางทะเลกว่า 90% ของทั้งระบบนิเวศ ทำไมทะเลถึงมืดลง? ปัจจัยหลักมาจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยเฉพาะ: ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการชะล้างตะกอนและสารอาหารจากแผ่นดินลงทะเล ส่งผลให้สาหร่ายและแพลงก์ตอนบางชนิดเจริญเติบโตมากผิดปกติ (Algae Bloom) ซึ่งทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนสี อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้ชั้นผิวน้ำร้อนขึ้นและรบกวนการแพร่กระจายของแสงลงสู่ชั้นลึก ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตที่ต้องการแสง เช่น แพลงก์ตอนพืช สังเคราะห์แสงได้น้อยลงและลดจำนวนลง

การวิจัยใหม่เผยให้เห็นว่า มหาสมุทรมากกว่า 20% ของโลก กำลังมืดลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 75 ล้านตารางกิโลเมตร เทียบเท่ากับพื้นที่แผ่นดินของยุโรป แอฟริกา จีน และอเมริกาเหนือรวมกัน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งนี้ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์เกิดความกังวลว่าจะส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและสุขภาพของโลก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “มหาสมุทรมืดลง” (Ocean Darkening) เกิดขึ้นเมื่อความใสของน้ำเปลี่ยนแปลงจนทำให้ “เขตมีแสง” (Photic zone) เป็นระดับน้ำที่อยู่ด้านบนสุดและสัมผัสกับแดด มีความลึกระหว่าง 0–200 เมตร มีไฟโตแพลงก์ตอนสังเคราะห์แสง ที่เป็นอาหารและสร้างออกซิเจนเกือบครึ่งหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลเกือบทั้งหมด โดยจะล่า ​​หากิน และสืบพันธุ์ในน่านน้ำที่อุ่นของโซนโฟโตติกซึ่งมีอาหารอุดมสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นหากโซนนี้ลดลงสิ่งมีชีวิตจะมีพื้นที่อยู่อาศัยน้อยลง และยังส่งผลต่อการที่มหาสมุทรช่วยควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพลีมัธและห้องปฏิบัติการทางทะเลพลีมัธใช้ข้อมูลดาวเทียมเกือบ 20 ปีร่วมกับการสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ขั้นสูง พบว่าระหว่างปี 2003-2022 พื้นที่ชายฝั่งส่วนใหญ่และมหาสมุทรเปิดมีสีเข้มขึ้น ซึ่งหมายความว่าแสงแดดเดินทางผ่านน้ำได้น้อยลง สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นก็คือ มหาสมุทรมากกว่า 9% ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าทวีปแอฟริกา ที่เขตมีแสงหดตัวลงมากกว่า 50 เมตร แต่ในบางภูมิภาคก็ความลึกลดลงมากกว่า 100 เมตร ผลการศึกษาใหม่จากมหาวิทยาลัยพลีมัธพบว่ามหาสมุทรทั่วโลกราวร้อยละ 21 ซึ่งรวมถึงบริเวณชายฝั่งขนาดใหญ่และมหาสมุทรเปิด กลายเป็นสีเข้มมากขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศในทะเลไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติได้

โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตในทะเลจะเจริญเติบโตได้ดีเขตที่เรียกกันว่า ‘โฟติกโซน’ (Photic Zones) หรือเขตมีแสง ซึ่งเป็นชั้นผิวน้ำที่แสงสามารถส่องผ่านเข้ามาได้เพียงพอ ให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเช่น ไฟโตแพลงก์ตอนสังเคราะห์ได้ กลายเป็นพื้นฐานของห่วงโซ่อาหาร ให้กับตัวเคย ปลาขนาดเล็ก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ได้มาใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้ กลายเป็นพื้นฐานของระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของมหาสมุทร อีกทั้งยังช่วยสร้างออกซิเจนเกือบครึ่งหนึ่งของโลกให้ทุกชีวิตได้หายใจ แต่ถึงแม้จะมีผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทว่าเขตโฟติกนั้นกลับมีความลึกสูงสุดที่ 200 เมตรเท่านั้น ดังนั้นจึงมีความเปราะบางสูง อย่างไรก็ตามงานวิจัยใหม่เผยให้เห็นว่า มหาสมุทรทั่วโลกราวร้อยละ 21 หรือคิดเป็นพื้นที่โดยรวมขนาด 75 ล้านตารางกิโลเมตร เทียบเท่ากับพื้นที่ของยุโรป แอฟริกา จีน และอเมริกาเหนือรวมกัน อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเล 90 เปอร์เซ็น กำลังมืดลง “ผลการศึกษาของเรามีหลักฐานว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้เกิดความมืดมิดในวงกว้าง นอกจากนี้ เราพึ่งพามหาสมุทรและโซนโฟติกในอากาศที่เราหายใจ ปลาที่เรากิน ความสามารถในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และสุขภาพกับความเป็นอยู่โดยรวมของโลก” ดร. โทมัส เดวีส์ (Thomas Davies) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการอนุรักษ์ทางทะเลที่มหาวิทยาลัยพลีมัธ กล่าว นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงที่น่าตกใจ โดยโซน "แสงส่องผ่าน" (Photic Zone) ซึ่งเป็นบริเวณที่แสงแดดสามารถส่องผ่านลงไปในน้ำได้และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลถึง 90% กำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 20 ปี

โซนสำคัญนี้ได้ลดขนาดลงไปถึงหนึ่งในห้าของมหาสมุทรทั่วโลก และในบางพื้นที่ มีการลดลงรุนแรงถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งเป็นที่น่ากังวลเพราะโซนสำคัญนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่หล่อเลี้ยงสัตว์ใต้น้ำที่สำคัญเป็นอย่างมาก การลดตัวลงของโซนแสงส่องผ่านใต้ทะเล ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิต และสภาพอากาศ การหดตัวของโซนแสงส่องผ่านนี้ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศและสภาพอากาศของโลก เนื่องจากโซนนี้คือบ้านของ แพลงก์ตอนพืช ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อโลก และสัตว์ใต้ท้องทะเล เพราะ แพลงก์ตอนพืชสามารถช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ นอกจากนี้ พวกมันยังผลิตออกซิเจนให้กับโลกมากถึงครึ่งหนึ่งที่เราหายใจ อีกทั้งยังช่วยหล่อเลี้ยงห่วงโซ่อาหาร โดยแพลงก์ตอนพืชเป็นรากฐานของห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทร ซึ่งค้ำจุนสต็อกปลาทั่วโลกและเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของเรา สถานะปัจจุบันของมหาสมุทรสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพของพวกมันเนื่องมาจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากพลาสติก และการประมงเกินขนาด สัญญาณเตือนต่างๆ กำลังทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่สีของท้องทะเลที่เปลี่ยนไป แสงที่ลดลงในน่านน้ำ ขยะขนาดเล็กที่ลอยอยู่ทั่วไป และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลที่ตามมาไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตในทะเลเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อชุมชนมนุษย์อีกด้วย ผู้ซึ่งพึ่งพาทะเลเพื่ออาหาร อาชีพ และความเป็นอยู่ที่ดี งานวิจัยและการดำเนินการระหว่างประเทศล่าสุดเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ไม่อาจย้อนกลับได้

<img decoding="async" src="https://www.meteorologiaenred.com/wp-content/uploads/2025/07/oceanos.jpg" alt="ecosistemas oceánicos"/> แสงที่ผ่านชั้นบรรยากาศชั้นบนของมหาสมุทร มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล อย่างไรก็ตาม การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้เตือนว่าบริเวณที่เรียกว่าโฟโตติกโซน (ซึ่งแสงแดดยังคงส่องผ่านได้) กำลังสูญเสียความเข้มแสงในอัตราที่เร็วขึ้น จากข้อมูลของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยพลีมัธ ประมาณ น้ำทะเล 21% พบว่าความส่องสว่างลดลง ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีการจำกัดถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์หลายสายพันธุ์ เช่น ปะการัง ปลา และเม่นทะเล กระบวนการนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทะเลทั้งหมดเท่าเทียมกัน ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อาร์กติก แอนตาร์กติกา และทะเลบอลติก การสูญเสียความลึกในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเหล่านี้เกิน 50 เมตร และในบางกรณีอาจเกิน 100 เมตร สาเหตุหลัก ได้แก่ น้ำไหลบ่าที่พัดพาสารอาหารและตะกอนลงสู่ทะเล ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางการเกษตร ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา โลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและเกิดขึ้นถี่ขึ้นกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นไฟป่าครั้งใหญ่ในลอสแอนเจลิส ความแห้งแล้งที่ขยายตัวเป็นวงกว้าง หรือพายุฝนฟ้าคะนองที่ทวีความรุนแรง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงผลกระทบบางส่วนจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่อุณหภูมิอากาศที่พุ่งสูงขึ้น แต่อุณหภูมิของมหาสมุทรก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเรดดิ้งในสหราชอาณาจักรเปิดเผยว่า มหาสมุทรในปัจจุบันร้อนขึ้นกว่าช่วงปี 1980 ถึง 400% ซึ่งเป็นอัตราเร่งที่น่าตกใจ และกำลังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างมหาศา ปัจจัยหลักที่ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ จากข้อมูลการศึกษาพบว่า มหาสมุทรสามารถดูดซับความร้อนได้เร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ถึง 44% ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ และส่งผลต่อสภาพอากาศทั่วโลก

การที่อุณหภูมิมหาสมุทรสูงขึ้นไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในงานวิจัย แต่มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ ดังนี้ นักวิจัยคาดการณ์ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า อุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้นจนเกินระดับที่เคยมีในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าหากเราไม่เร่งดำเนินมาตรการแก้ไข ผลกระทบที่รุนแรงกว่านี้อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในบางประเทศ แต่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลกลับยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความจำเป็นในการปกป้องโลก

People Also Search

นักวิจัยพบว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มหาสมุทรกว่า 21% ของโลก หรือประมาณ 75 ล้านตารางกิโลเมตร มีสีที่เข้มขึ้นอย่างชัดเจน

นักวิจัยพบว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มหาสมุทรกว่า 21% ของโลก หรือประมาณ 75 ล้านตารางกิโลเมตร มีสีที่เข้มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในบริเวณกระแสน้ำกัลฟ์สตรีม มหาสมุทรอาร์กติก แอนตาร์กติกา และทะเลปิดอย่างทะเลบอลติก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Ocean Darkening หรือ “มหาสมุทรมืด” ซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณ Photic Zone หรือชั้นของน้ำทะเลที่แสงส่องถึง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทางทะเลกว่า 90% ของทั้งระบบนิเวศ ทำไม...

การวิจัยใหม่เผยให้เห็นว่า มหาสมุทรมากกว่า 20% ของโลก กำลังมืดลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 75 ล้านตารางกิโลเมตร เทียบเท่ากับพื้นที่แผ่นดินของยุโรป แอฟริกา

การวิจัยใหม่เผยให้เห็นว่า มหาสมุทรมากกว่า 20% ของโลก กำลังมืดลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 75 ล้านตารางกิโลเมตร เทียบเท่ากับพื้นที่แผ่นดินของยุโรป แอฟริกา จีน และอเมริกาเหนือรวมกัน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งนี้ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์เกิดความกังวลว่าจะส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและสุขภาพของโลก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “มหาสมุทรมืดลง” (Ocean Darkening) เกิดขึ้นเมื่อความใสของน้ำเปล...

โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตในทะเลจะเจริญเติบโตได้ดีเขตที่เรียกกันว่า ‘โฟติกโซน’ (Photic Zones) หรือเขตมีแสง ซึ่งเป็นชั้นผิวน้ำที่แสงสามารถส่องผ่านเข้ามาได้เพียงพอ ให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเช่น ไฟโตแพลงก์ตอนสังเคราะห์ได้ กลายเป็นพื้นฐานของห่วงโซ่อาหาร ให้กับตัวเคย

โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตในทะเลจะเจริญเติบโตได้ดีเขตที่เรียกกันว่า ‘โฟติกโซน’ (Photic Zones) หรือเขตมีแสง ซึ่งเป็นชั้นผิวน้ำที่แสงสามารถส่องผ่านเข้ามาได้เพียงพอ ให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเช่น ไฟโตแพลงก์ตอนสังเคราะห์ได้ กลายเป็นพื้นฐานของห่วงโซ่อาหาร ให้กับตัวเคย ปลาขนาดเล็ก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ได้มาใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้ กลายเป็นพื้นฐานของระ...

โซนสำคัญนี้ได้ลดขนาดลงไปถึงหนึ่งในห้าของมหาสมุทรทั่วโลก และในบางพื้นที่ มีการลดลงรุนแรงถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งเป็นที่น่ากังวลเพราะโซนสำคัญนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่หล่อเลี้ยงสัตว์ใต้น้ำที่สำคัญเป็นอย่างมาก การลดตัวลงของโซนแสงส่องผ่านใต้ทะเล ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิต และสภาพอากาศ การหดตัวของโซนแสงส่องผ่านนี้ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศและสภาพอากาศของโลก เนื่องจากโซนนี้คือบ้านของ

โซนสำคัญนี้ได้ลดขนาดลงไปถึงหนึ่งในห้าของมหาสมุทรทั่วโลก และในบางพื้นที่ มีการลดลงรุนแรงถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งเป็นที่น่ากังวลเพราะโซนสำคัญนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่หล่อเลี้ยงสัตว์ใต้น้ำที่สำคัญเป็นอย่างมาก การลดตัวลงของโซนแสงส่องผ่านใต้ทะเล ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิต และสภาพอากาศ การหดตัวของโซนแสงส่องผ่านนี้ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศและสภาพอากาศของโลก เนื่องจากโซนนี้คือบ้านของ แพ...

<img Decoding="async" Src="https://www.meteorologiaenred.com/wp-content/uploads/2025/07/oceanos.jpg" Alt="ecosistemas Oceánicos"/> แสงที่ผ่านชั้นบรรยากาศชั้นบนของมหาสมุทร มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล อย่างไรก็ตาม การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้เตือนว่าบริเวณที่เรียกว่าโฟโตติกโซน

<img decoding="async" src="https://www.meteorologiaenred.com/wp-content/uploads/2025/07/oceanos.jpg" alt="ecosistemas oceánicos"/> แสงที่ผ่านชั้นบรรยากาศชั้นบนของมหาสมุทร มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล อย่างไรก็ตาม การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้เตือนว่าบริเวณที่เรียกว่าโฟโตติกโซน (ซึ่งแสงแดดยังคงส่องผ่านได้) กำลังสูญเสียความเข้มแสงในอัตราที่เร็วขึ้น จากข้อมูลของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยพลีมัธ ประมา...