วิกฤตของมหาสมุทร Greenpeace Thailand

Leo Migdal
-
วิกฤตของมหาสมุทร greenpeace thailand

มหาสมุทรของเรากำลังเผชิญกับวิกฤต ระบบนิเวศมหาสมุทรและทะเลที่อุดมสมบูรณ์กำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการประมงเกินขนาด มลพิษพลาสติก การปนเปื้อนของสารพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามเหล่านี้ส่งผลให้ระบบนิเวศทางทะเลเสื่อมโทรม และเร่งให้สัตว์น้ำจำนวนมากต้องสูญพันธุ์หรือตกอยู่ในความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ อุตสาหกรรมการประมงต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อปกป้องมหาสมุทรและทะเลของเรา อุตสาหกรรมประมงเชิงพาณิชย์ที่ไร้ความรับผิดชอบออกแย่งชิงทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลที่มีปริมาณน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยเรือประมงที่พร้อมด้วยอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากการจับปลาในปริมาณมหาศาลแล้ว อุปกรณ์เหล่านี้ยังส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง ดอกไม้ทะเล หรือสัตว์หน้าดิน เร่งให้เกิดทำลายระบบนิเวศเกินกว่าการที่ธรรมชาติจะสามารถฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำได้ การทำประมงยุคใหม่นั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศโดยไม่จำเป็น ในทุกๆปี เครื่องมือประมงทำลายล้างและอวนลากคร่าชีวิตวาฬและโลมาไม่น้อยกว่า 300,000 ตัวทั่วโลก เนื่องจากการใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสมกับประเภทสัตว์น้ำที่จับ วาฬ โลมา หรือฉลามจึงมักจะติดอวนลากขึ้นมาโดยไม่ใช่สัตว์น้ำกลุ่มเป้าหมาย และยังทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยและสัตว์น้ำประจำถิ่น ตัวอย่างเช่น เรืออวนลากที่ทำลายระบบนิเวศปะการังที่อยู่มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรณ์ ไปพร้อมกับระบบนิเวศทางทะเลที่เปราะบางโดยรอบ เรือประมงที่ละเมิดกฎหมายมักออกทำการประมง และไม่คำนึงถึงน่านน้ำของประเทศที่ขาดความมั่นคงทางอาหารและรายได้ โดยกิจการประมงที่ผิดกฎหมายนั้นจะให้ผลตอบแทนน้อยมากให้กับประเทศผู้เป็นเจ้าของน่านน้ำที่มีทรัพยากรสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ เช่นประเทศชายฝั่งทะเลของแอฟริกาและกลุ่มประเทศริมฝั่งและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก จากการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน ประมงทำลายล้างที่ไร้การควบคุม ภัยคุกคามที่เกิดจากโครงการอุตสาหกรรมทั้งชายฝั่งและกลางทะเล

สิ่งเหล่านี้จะกระทบต่อชีวิตชุมชนชายฝั่ง ความมั่นคงทางอาหาร ไปจนถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่เรายังสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ คือพื้นที่ของมหาสมุทรที่โลกจะต้องปกป้องจากอุตสาหกรรมทำลายล้างมหาสมุทรทุกประเภท คือปริมาณความร้อนที่มหาสมุทรกักเก็บมาจากโลกเพื่อไม่ให้โลกร้อนเกินไป วิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และประมงทำลายล้างทำให้ระบบนิเวศมหาสมุทรเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ จนกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและชีวิตของคนพันล้านทั่วโลก มาดริด, 4 ธันวาคม 2562 – ผลกระทบของวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศต่อมหาสมุทรนั้น มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับความหลากหลายทางชีวภาพและการดำรงอยู่ของมนุษยชาติอย่างลึกซึ้ง ซึ่งต้องการการตอบสนองทางการเมืองทั่วโลกอย่างเร่งด่วนในอีก 12 เดือนข้างหน้า รายงานล่าสุดของกรีนพีซสากล ปรากฏการณ์น้ำทะเลอุณหภูมิสูง: วิกฤตสภาพภูมิอากาศและความเร่งด่วนเพื่อปกป้องมหาสมุทร ระบุชัดเจนว่า การที่อุณหภูมิน้ำทะเลผิดปกตินั้นเกิดจากการเร่งนำเชื้อเพลิงฟอสซิลมาใช้อย่างรวดเร็วและมากเกินไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างระบบนิเวศ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น เพิ่มระดับสูงขึ้น น้ำทะเลเป็นกรด และออกซิเจนในน้ำทะเลลดลง ปาร์ค แทฮยอน ที่ปรึกษาด้านภูมิอากาศโลก ประจำกรีนพีซ เอเชียตะวันออก กล่าวว่า “อุณหภูมิน้ำทะเลและระดับน้ำที่กำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของน้ำที่เปลี่ยนไป สะท้อนถึงความเชื่อมโยงของวิกฤตสภาพภูมิอากาศและวิกฤตมหาสมุทรต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรไม่ใช่สิ่งอยู่ไกลตัวจากเราแม้แต่น้อย มหาสมุทรคือความมั่นคงทางอาหาร และแหล่งรายได้ที่สำคัญของผู้คนหลายสิบหลายล้านคนทั่วโลก ออกซิเจนที่เราทุกคนหายใจอยู่ก็มาจากมหาสมุทร”

รายงานฉบับดังกล่าว ยังเรียกร้องให้เกิดแผนความร่วมมือในระดับรัฐบาล เพื่อหาหนทางที่อาจเป็น “โอกาสเดียวที่เหลืออยู่” เพื่อจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ การล่มสลายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และวิธีการปกป้องมหาสมุทรในระดับโลก รายงานยังย้ำเตือนให้รัฐบาลทุกประเทศเห็นถึงความเร่งด่วนของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ ที่ประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศ (Climate Summits) ที่จัดขึ้นที่ประเทศสเปน และสหราชอาณาจักร และให้การรับรองสนธิสัญญาทะเลหลวง (Global Ocean Treaty) ณ ที่ประชุมขององค์การสหประชาชาติก่อนสิ้นสุดปี 2563 รวมไปถึงให้คำมั่นว่าจะปกป้อง 30% ของพื้นที่ในมหาสมุทร ภายในปี 2573 เพื่อประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล (Oceans Santuaries) ในการประชุมสุดยอดความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ประเทศจีนในเดือนตุลาคม ปีหน้า หากเราสามารถปกป้องพื้นที่ในมหาสมุทรได้ แม้จะเพียงแค่ 30% ก็สามารถช่วยเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัว (resilience) ของมหาสมุทรและทนต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการปกป้องแหล่งกักเก็บคาร์บอนในมหาสมุทร ข้อมูลจากรายงานยังย้ำอีกว่า ระบบนิเวศใต้ท้องทะเลคือแนวหน้าที่สำคัญที่จะช่วยรับมือกับผลกระทบด้านสภาพอากาศ และแนะนำพื้นที่ซึ่งควรได้รับการปกป้องอย่างเร่งด่วน ได้แก่ บริเวณมหาสมุทรอาร์กติกและมหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณชมวาฬ เขตแนวประการัง ป่าชายเลน แหล่งหญ้าทะเล ทะเลซาร์กัสโซ เขตเมโซเพลาจิก (mesopelagic Zone) และเขตทะเลลึก ซึ่งจากข้อมูลระบุชัดว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีการทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในทะเลอย่างเด็ดขาด ปาร์ค แทฮยอน กล่าวว่า “วิทยาศาสตร์คือข้อเท็จจริง ที่มีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจน ทั้งนี้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ควรเร่งลดการใช้พลังงานฟอสซิล ขณะเดียวกันก็ควรทุ่มเทการสร้างเครือข่ายเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลอย่างจริงจัง ยิ่งเราสามารถลดกิจกรรมจากมนุษย์ที่รบกวนมหาสมุทรได้มากเท่าไร มหาสมุทรก็มีโอกาสฟื้นตัวได้ไวขึ้น และช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ทันท่วงทีมากขึ้น” นอกจากนี้ ที่ปรึกษาของกรีนพีซยังย้ำว่า “ปี 2563 เป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะรัฐบาลแต่ละประเทศจะมีโอกาสแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก ด้วยการลงนามในสนธิสัญญามหาสมุทร ที่การประชุมสหประชาชาติ และที่การประชุมสุดยอดความหลากหลายทางชีวภาพที่ประเทศจีน ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องร่วมกันปกป้องมหาสมุทรของเรา” ขณะที่ปี 2568 กำลังจะกลายเป็นอีกปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ เหล่ารัฐบาลจากประเทศต่าง ๆ กำลังเตรียมตัวเพื่อมาประชุมในเวที UN Climate Conference หรือ COP30 ณ กรุงเบเลม ประเทศบราซิล ซึ่งการประชุมครั้งนี้จะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญที่ชี้ขาดว่าเหล่าผู้นำโลกจะมุ่งมั่นพอที่จะชะลอไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสหรือไม่ การประชุมครั้งนี้ยังเกิดขึ้นที่ใจกลางแอมะซอน ดังนั้น การประชุม COP ครั้งนี้จึงมีความหมายทั้งในเชิงสัญลักษณ์และในด้านเจตจำนงทางการเมืองอย่างยิ่ง เพราะผืนป่าแอมะซอนไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นป่าฝนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในตัวควบคุมสภาพภูมิอากาศที่สำคัญที่สุดอีกด้วย การปกป้องผืนป่าฝนเขตร้อนมีความสำคัญต่อการชะลอวิกฤตโลกเดือดและยังเป็นบ้านของหลายสิ่งมีชีวิตบนโลก ในการประชุม COP30 ครั้งนี้ กรีนพีซเรียกร้องให้เหล่าผู้นำแต่ละประเทศเปลี่ยนคำมั่นสัญญาเป็นการลงมือปฏิบัติจริง ผ่านวาระด้านป่าไม้และสภาพภูมิอากาศที่มีความทะเยอทะยานมากพอ ซึ่งจะต้องสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนและเป็นประโยชน์ต่อโลกของเรา และนี่คือข้อเรียกร้องของกรีนพีซ ต่อการประชุม COP30 เป็นสิ่งที่เรากำลังลุกขึ้นสู้ ทั้งในเบเลงและทั่วโลก ผืนป่าแอมะซอนและระบบนิเวศแห่งอื่น ๆ กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่อาจทำให้สภาพภูมิอากาศไม่อาจย้อนกลับสู่จุดเดิมได้ กรีนพีซเรียกร้องให้โลกมีแผนปกป้องผืนป่าที่สามารถยุติการทำลายป่าไม้และระบบนิเวศภายในปี 2573 รัฐบาลแต่ละประเทศต้องให้คำมั่นสัญญาว่าการทำลายผืนป่าจะไม่เกิดขึ้นอีก ระบบนิเวศจะต้องไม่ถูกทำลาย และต้องมีแผนการปกป้องพื้นที่ของชนเผ่าพื้นเมืองอย่างเต็มรูปแบบ

อุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ การทำเหมือง และการตัดไม้เชิงพาณิชย์ยังคงทำลายป่าในอัตราที่น่าตกใจ บริษัทหลายแห่ง เช่น บริษัทผลิตเนื้อสัตว์ยักษ์ใหญ่ JBS ต้องถูกตรวจสอบ และรับผิดรับชอบต่อการสูญเสียป่าที่เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัทส่วนสถาบันการเงินที่ให้ทุนสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ต้องอยู่ภายใต้มตราการทางกฎหมายที่จำเป็น เพื่อยับยั้งการลงทุนที่ทำลายระบบนิเวศ การปกป้องและฟื้นฟูผืนป่าเป็นหนึ่งในหนทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดและยังเป็นหนทางที่ทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและเป็นเกราะพิทักษ์วิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง อนาคตของโลกขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ มหาสมุทรมีบทบาทเกื้อหนุนทุกชีวิตบนโลก และตอนนี้มหาสมุทรต้องการความช่วยเหลือจากคุณ รัฐบาลทั่วโลกกำลังทำงานในเรื่องสนธิสัญยาทะเลหลวง ถ้าเราทำสำเร็จ จะช่วยเบิกทางให้กับแผนการฟื้นฟูระบบนิเวศมหาสมุทรที่จะทำให้เราเห็น 1 ใน 3 ส่วนของมหาสมุทรได้รับการปกป้องคุ้มครอง เรายังพอมีหวังที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์โดยการป้องกันพื้นที่สำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเลให้พ้นเงื้อมมือของอุตสาหกรรมที่ทำลายล้าง จากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ สภาวะความเป็นกรดของมหาสมุทร การทำประมงเกินขนาด ถึงปัญหามลพิษต่างๆ มหาสมุทรของเราไม่เคยเผชิญกับวิกฤตที่เป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อน

การกำหนด “เขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล(Ocean Sanctuaries)” เพื่ออนุรักษ์และปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราต้องช่วยกันผลักดัน เป้าหมายคือ การปกป้องมหาสมุทรโลกอย่างน้อย 1 ใน 3 ส่วนให้ได้ภายในปี พ.ศ.2573 หากแผนงานนี้สำเร็จ จะเป็นความพยายามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่ได้ช่วยกันปกป้องมหาสมุทรโลกหลายล้านตารางกิโลเมตรจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นอันตราย วิกฤตต่างๆในทะเลและมหาสมุทรที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงหลายภาคส่วนจนเราคิดว่า คนธรรมดาและผู้บริโภคอย่างเราไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนนั้นมีบทบาทสำคัญในการกู้วิกฤตของทะเลมหาสมุทร พลังของพวกเราจะกำหนดความเป็นไปของทรัพยากรในมหาสมุทร ยกตัวอย่างเช่น การที่ผู้บริโภคผลักดันให้บริษัทใหญ่หันมาปรับปรุงระบบการจับทูน่า ปลาที่นิยมนำมาทำเป็นปลาทูน่ากระป๋อง ให้ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น รวมถึงความยั่งยืนของระบบนิเวศ มีปัจเจกชน ชุมชนและกลุ่มองค์กรต่างๆ ทำงานเพื่อปกป้องทะเลไทยอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง เช่น กลุ่มอนุรักษ์ชายหาด เครือข่ายประมงพื้นบ้าน(สมาคมสมาพันธ์ประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย สมาคมรักษ์ทะเลไทย เป็นต้น) หรือภาคประชาชนที่ทำงานสนับสนุนการทำประมงอย่างยั่งยืนและมีจริยธรรม อาทิ ร้านคนจับปลา (Fisher Folk) และ โครงการประมงพื้นบ้านสัตว์น้ำอินทรีย์ ธุรกิจเพื่อสังคมที่เน้นรับซื้อปลาจากชาวประมงที่จับปลาอย่างยั่งยืน ไม่ทำร้ายท้องทะเล ปลอดภัยกับผู้บริโภคในราคาที่เป็นธรรม ตลอดจนภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่ออาหารทะเลที่เป็นธรรมและยั่งยืน การสนับสนุนการบริโภคอาหารทะเลจากการประมงที่ยั่งยืนเป็นการแสดงจุดยืนว่าผู้บริโภคต้องการอาหารทะเลที่ปลอดภัยและไม่ทำร้ายท้องทะเล เป็นทางเลือกของผู้บริโภคที่จะช่วยหยุดภัยคุกคามต่อทะเลและมหาสมุทรของเราทุกคนได้ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าก่อนที่ปลาหรืออาหารทะเลจะเดินทางมาถึงจานอาหารคุณนั้นอาจมาจากการประมงที่ทำลายระบบนิเวศทางทะเลอย่างใหญ่หลวงอย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลที่เราควรถามไถ่ถึงแหล่งที่มาของปลาที่คุณกิน เพราะเราอาจกำลังมีส่วนให้เกิดวิกฤตในท้องทะเลโดยไม่รู้ตัว

มหาสมุทรมีพื้นที่กว่า 71% ของผิวโลก ใต้ทะเลลึกยังมีอะไรที่มากที่เราไม่รู้จัก สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ร่วมกันภายใต้ระบบนิเวศอันซับซ้อน คอยรักษาสมดุลของโลกและหล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยและคนทั่วโลก แต่ตอนนี้มหาสมุทรกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก จากการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน ประมงทำลายล้างที่ไร้การควบคุม ภัยคุกคามที่เกิดจากโครงการอุตสาหกรรมทั้งชายฝั่งและกลางทะเล วิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษ ประมงทำลายล้าง กำลังจะทำให้ระบบนิเวศมหาสมุทรเสื่อมโทรมลง กระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและชีวิตของคนพันล้านทั่วโลก ทางออกเดียวตอนนี้คือการสร้างเขตคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตใต้ทะเล และระบบนิเวศได้ฟื้นคืนความสมบูรณ์ เมื่อต้นปี 2563 ประเทศต่างๆได้บรรลุข้อตกลงสนธิสัญญาทะเลหลวง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเขตคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือรัฐบาลอย่างน้อย 60 ประเทศทั่วโลกต้องให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญา โดยหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย ในปี 2548 กรีนพีซเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันสนธิสัญญาทะเลหลวง (Global Ocean Treaty) ตั้งแต่ต้น สนธิสัญญาดังกล่าวจะช่วยปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและสร้างเขตอนุรักษ์ทางทะเลในน่านน้ำสากล

People Also Search

มหาสมุทรของเรากำลังเผชิญกับวิกฤต ระบบนิเวศมหาสมุทรและทะเลที่อุดมสมบูรณ์กำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการประมงเกินขนาด มลพิษพลาสติก การปนเปื้อนของสารพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามเหล่านี้ส่งผลให้ระบบนิเวศทางทะเลเสื่อมโทรม และเร่งให้สัตว์น้ำจำนวนมากต้องสูญพันธุ์หรือตกอยู่ในความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ อุตสาหกรรมการประมงต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อปกป้องมหาสมุทรและทะเลของเรา

มหาสมุทรของเรากำลังเผชิญกับวิกฤต ระบบนิเวศมหาสมุทรและทะเลที่อุดมสมบูรณ์กำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการประมงเกินขนาด มลพิษพลาสติก การปนเปื้อนของสารพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามเหล่านี้ส่งผลให้ระบบนิเวศทางทะเลเสื่อมโทรม และเร่งให้สัตว์น้ำจำนวนมากต้องสูญพันธุ์หรือตกอยู่ในความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ อุตสาหกรรมการประมงต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อปกป้องมหาสมุทรและทะเลของเรา อุ...

สิ่งเหล่านี้จะกระทบต่อชีวิตชุมชนชายฝั่ง ความมั่นคงทางอาหาร ไปจนถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่เรายังสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ คือพื้นที่ของมหาสมุทรที่โลกจะต้องปกป้องจากอุตสาหกรรมทำลายล้างมหาสมุทรทุกประเภท คือปริมาณความร้อนที่มหาสมุทรกักเก็บมาจากโลกเพื่อไม่ให้โลกร้อนเกินไป วิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และประมงทำลายล้างทำให้ระบบนิเวศมหาสมุทรเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ จนกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและชีวิตของคนพันล้านทั่วโลก

สิ่งเหล่านี้จะกระทบต่อชีวิตชุมชนชายฝั่ง ความมั่นคงทางอาหาร ไปจนถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่เรายังสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ คือพื้นที่ของมหาสมุทรที่โลกจะต้องปกป้องจากอุตสาหกรรมทำลายล้างมหาสมุทรทุกประเภท คือปริมาณความร้อนที่มหาสมุทรกักเก็บมาจากโลกเพื่อไม่ให้โลกร้อนเกินไป วิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และประมงทำลายล้างทำให้ระบบนิเวศมหาสมุทรเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ จนกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและชีวิตของคนพันล้านทั่...

รายงานฉบับดังกล่าว ยังเรียกร้องให้เกิดแผนความร่วมมือในระดับรัฐบาล เพื่อหาหนทางที่อาจเป็น “โอกาสเดียวที่เหลืออยู่” เพื่อจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ การล่มสลายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และวิธีการปกป้องมหาสมุทรในระดับโลก รายงานยังย้ำเตือนให้รัฐบาลทุกประเทศเห็นถึงความเร่งด่วนของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ ที่ประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศ

รายงานฉบับดังกล่าว ยังเรียกร้องให้เกิดแผนความร่วมมือในระดับรัฐบาล เพื่อหาหนทางที่อาจเป็น “โอกาสเดียวที่เหลืออยู่” เพื่อจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ การล่มสลายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และวิธีการปกป้องมหาสมุทรในระดับโลก รายงานยังย้ำเตือนให้รัฐบาลทุกประเทศเห็นถึงความเร่งด่วนของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ ที่ประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศ (Climate Summits) ที่จัดขึ้นที่ประเทศสเปน และสหราชอาณาจั...

อุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ การทำเหมือง และการตัดไม้เชิงพาณิชย์ยังคงทำลายป่าในอัตราที่น่าตกใจ บริษัทหลายแห่ง เช่น บริษัทผลิตเนื้อสัตว์ยักษ์ใหญ่ JBS ต้องถูกตรวจสอบ และรับผิดรับชอบต่อการสูญเสียป่าที่เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัทส่วนสถาบันการเงินที่ให้ทุนสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ต้องอยู่ภายใต้มตราการทางกฎหมายที่จำเป็น เพื่อยับยั้งการลงทุนที่ทำลายระบบนิเวศ

อุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ การทำเหมือง และการตัดไม้เชิงพาณิชย์ยังคงทำลายป่าในอัตราที่น่าตกใจ บริษัทหลายแห่ง เช่น บริษัทผลิตเนื้อสัตว์ยักษ์ใหญ่ JBS ต้องถูกตรวจสอบ และรับผิดรับชอบต่อการสูญเสียป่าที่เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัทส่วนสถาบันการเงินที่ให้ทุนสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ต้องอยู่ภายใต้มตราการทางกฎหมายที่จำเป็น เพื่อยับยั้งการลงทุนที่ทำลายระบบนิเวศ การปกป้องและฟื้นฟูผืนป่าเป็นหนึ่งในหนทาง...

การกำหนด “เขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล(Ocean Sanctuaries)” เพื่ออนุรักษ์และปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราต้องช่วยกันผลักดัน เป้าหมายคือ การปกป้องมหาสมุทรโลกอย่างน้อย 1 ใน 3

การกำหนด “เขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล(Ocean Sanctuaries)” เพื่ออนุรักษ์และปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราต้องช่วยกันผลักดัน เป้าหมายคือ การปกป้องมหาสมุทรโลกอย่างน้อย 1 ใน 3 ส่วนให้ได้ภายในปี พ.ศ.2573 หากแผนงานนี้สำเร็จ จะเป็นความพยายามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่ได้ช่วยกันปกป้องมหาสมุทรโลกหลายล้านตารางกิโลเมตรจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นอันตราย วิกฤตต่างๆในทะเ...