กระแสน้ําวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก Acc ส่อแววไหลอ่อนลง 20 ในอีก 25 ปี

Leo Migdal
-
กระแสน้ําวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก acc ส่อแววไหลอ่อนลง 20 ในอีก 25 ปี

กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้ ด้วยพลังการเคลื่อนตัวที่แรงกว่ากระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม (AMOC) ถึง 5 เท่า และไหลเชี่ยวกรากยิ่งกว่าแม่น้ำแอมะซอนถึง 100 เท่า กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน, และแร่ธาตุสารอาหารไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยสายพานลำเลียงนี้เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน ทั้งยังทำหน้าที่ควบคุมสภาพภูมิอากาศของโลกทั้งใบด้วย แต่ทว่าน้ำจืดเย็นที่ละลายออกมาจากน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา ได้เจือจางน้ำเค็มของมหาสมุทรแอนตาร์กติกให้มีความเข้มข้นลดลง จนถึงระดับที่อาจไปรบกวนกระแสน้ำสำคัญในมหาสมุทรดังกล่าวได้ ผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิจัยออสเตรเลีย จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเพิ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Research Letters ฉบับวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่ากระแสน้ำเอซีซีอาจไหลช้าและอ่อนแรงลงกว่าในปัจจุบันถึง 20% ภายในปี 2050 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสรรพชีวิตบนโลก กระแสน้ำเอซีซีนั้นเปรียบเสมือน "คูน้ำ" ซึ่งล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกาที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง โดยช่วยกั้นขวางไม่ให้กระแสน้ำอุ่นเข้ามาใกล้ จนสามารถปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่บอบบางไม่ให้ละลายได้ นอกจากนี้ กระแสน้ำเอซีซียังทำหน้าที่เหมือนกำแพงป้อมปราการ ซึ่งขัดขวางไม่ให้สิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานเข้ามา อย่างเช่นสาหร่ายทะเลกระทิงใต้ (southern bull kelp) ซึ่งมีขนาดใหญ่และเกาะตัวกันเป็นแพขนาดมหึมา

“กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้” (Antarctic Circumpolar Current) เป็นกระแสน้ำตามเข็มนาฬิกาที่แรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่เชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียถึง 5 เท่า อีกทั้งแรงกว่าแม่น้ำแอมะซอน 100 เท่า นับเป็นกระแสน้ำที่มีบทบาทสำคัญในระบบสภาพอากาศ โดยมีอิทธิพลต่อการดูดซับความร้อนและคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทร และป้องกันไม่ให้น้ำอุ่นไหลไปถึงแอนตาร์กติกา กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters เผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างน้ำแข็งละลายจากชั้นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา และกระแสน้ำรอบขั้วโลกที่ไหลช้าลง ซึ่งเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากมีรายงานอีกฉบับที่พบว่า กระแสน้ำที่สำคัญในมหาสมุทรแอตแลนติกจะอ่อนกำลังลง นักวิจัยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และ Gadi เครื่องจำลองสภาพอากาศที่เร็วที่สุดของออสเตรเลีย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การละลายของน้ำแข็ง และสภาพลมที่มีต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โดยแบบจำลองนี้จับภาพคุณลักษณะที่คนอื่นมักมองข้าม เช่น กระแสน้ำวน ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่แม่นยำกว่ามาก ในการคาดการณ์อนาคตนี้ พบว่า น้ำแข็งที่ละลายจากทวีปแอนตาร์กติกาจะอพยพไปทางเหนือและเติมเต็มมหาสมุทรที่ลึกลงไป ส่งผลให้โครงสร้างความหนาแน่นของมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ถือเป็น “การปรับโครงสร้างใหม่ของพลวัตของมหาสมุทรใต้” ในโลกปัจจุบันที่อะไรๆ ต่างเคลื่อนไหวไวขึ้น มีสิ่งหนึ่งที่ชะลอตัวช้าลง นั่นคือความเร็วของกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ (Antarctic Circumpolar Current) และการชะลอตัวครั้งนี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสภาพภูมิอากาศ ระบบอาหาร และระบบนิเวศวิทยาของมหาสมุทรอาร์กติก

กระแสน้ำที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเรา คือกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ กระแสน้ำนี้ไหลวนตามเข็มนาฬิการอบทวีปแอนตาร์กติกาที่ใต้สุดของโลก พลังงานแรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมในมหาสมุทรแอตแลนติกถึง 5 เท่า และมากกว่าแม่น้ำแอมะซอนกว่าร้อยเท่า ทั้งยังทำหน้าที่เป็นสายพานเชื่อมสามมหามุทรใหญ่ของโลก: แปซิฟิก, แอตแลนติก และอินเดียเอาไว้ด้วยกัน กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้เกิดจากกระทบกันของกระแสลมแรงตะวันตกบริเวณมหาสมุทรทางใต้ (Southern Westerly Winds) และการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิระหว่างเส้นศูนย์สูตรและขั้วโลก ยิ่งใกล้ขั้วโลกเท่าไหร่ ความหนาแน่นของมหาสมุทรเพิ่มมากขึ้นตามความเย็นและความเค็มที่เพิ่มขึ้นด้วย กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้นี่เอง ที่ทำให้ขั้วโลกใต้ยังเย็นอยู่ ขณะที่รอบทวีปแอนตาร์กติกาห้อมล้อมไปด้วยน้ำเย็นจัด น้ำเย็นยะเยือกที่จะคอยเคลื่อนตัวไปทางเหนือห่างจากทวีปหนาวจัดนี้ กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้นี่เองที่คอยรักษาเส้นแบ่งเอาไว้ นอกจากทำหน้าที่เป็นเขตกั้นแผ่นน้ำแข็งอาร์กติกขนาดมหึมา กระแสน้ำกระแสนี้ยังป้องกันสิ่งมีชีวิตภายนอกพื้นที่อีกด้วย การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้น้ำแข็งบริเวณทวีปแอนอาร์ติกละลาย น้ำเค็มบริเวณขั้วโลกเจือจาง และอาจส่งผลต่อความเร็วของกระแสน้ำ เป็นที่โต้เถียงกันมานานในหมู่นักวิชาการ​ว่า วิกฤตโลกร้อนจะส่งผลให้ ‘การหมุนวนกระแสน้ำย้อนกลับ​ตามแนวเหนือ-​ใต้​ในมหาสมุทร​แอตแลนติก’​ (Atlantic Meridional Overturning Circulation)​ หรือ AMOC อาจเกิดการอ่อนแรงลงจนล่มสลายไปภายในศตวรรษนี้หรือไม่นั้น ล่าสุดมีงานวิจัยที่ค้นพบคำตอบนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านสมุทรศาสตร์และชั้นบรรยากาศจากมหาวิทยาลัยอูเทรกต์ (Utrecht University) ในเนเธอร์แลนด์ นำโดย เรอเน ฟาน เวสเทน (René van Westen) ทดลองสร้างแบบจำลองใหม่ โดยเปลี่ยนแนวคิดของแบบจำลองเดิมที่มักจะวัดค่าความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิกระแสน้ำและปริมาณการไหลของน้ำจืดในแอตแลนติกเหนือ มาเป็นการกระจายจุดสังเกตเป็น 3 ละติจูด อันได้แก่ 34°S ในแอตแลนติกใต้ปลายแหลมกู๊ดโฮป, 26°N ตามแนวอ่าวเม็กซิโก และ 60°N ทางใต้ของกรีนแลนด์ และเมื่อนำผลการตรวจวัดมาเข้าสูตรคำนวณร่วมกับข้อมูลที่ได้จากโครงการระบบโลกโดยชุมชนนักวิจัย (Community Earth System Model) หรือ CESM พบว่า การหยุดชะงักหรือล่มสลายของ ‘การหมุนวนกระแสน้ำย้อนกลับ​ตามแนวเหนือ-​ใต้​ในมหาสมุทร​แอตแลนติก’...

เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมกรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 51°30’ N กลับมีอากาศที่อบอุ่นกว่าเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ที่ละติจูด 43°3’51 ทั้งที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า คำตอบคือ โลกเราเฉลี่ยอุณหภูมิโดยอาศัยการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร ดุจสายพานลำเลียงความร้อน-ความเย็นขนาดยักษ์ จุดเริ่มต้นการทำงานของสายพานนี้อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือใกล้เกาะกรีนแลนด์ สภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นจะทำให้น้ำทะเลบริเวณนี้และด้านเหนือขึ้นไปแข็งตัวและก่อให้เกิดแผ่นน้ำแข็งปกคลุม ขณะที่ผิวของน้ำทะเลกำลังก่อตัวเป็นน้ำแข็ง เกลือที่ละลายอยู่ในน้ำทะเลชั้นบนจะถูกดันลงไปอยู่ในน้ำทะเลชั้นล่าง ทำให้มวลของน้ำทะเลชั้นล่างหนักขึ้น เมื่อน้ำอุ่นจากกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมทางใต้ไหลขึ้นเหนือมาถึงบริเวณนี้ก็จะจมลงกลายเป็นกระแสน้ำเย็นไหลกลับลงทางใต้อีกครั้ง จากนั้นก็จะไหลกระจายไปสู่มหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก กระแสน้ำเย็นที่ไหลลึกนี้จะกลับเป็นน้ำอุ่นอีกครั้งในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก จากนั้นก็ไหลกลับมาครบวงจร การไหลขึ้นของน้ำอุ่นทำให้ยุโรปเหนือมีอากาศที่อุ่นกว่าฝั่งญี่ปุ่น การไหลลงของน้ำลึกที่เย็นจะพาเอาสารอาหารลงสู่ทางใต้ รวมทั้งรักษาอุณหภูมิของประเทศแถบศูนย์สูตรไม่ให้ร้อนเกินไป โลกจึงมีสมดุลทางอุณหภูมิดังที่เราคุ้นเคยมาตลอด กระแสน้ำในมหาสมุทรของโลกนั้นเป็นเหมือน ‘สายพาน’ ที่คอยหมุนเวียนตั้งแต่สารอาหารไปจนถึงอุณหภูมิบนแผ่นดิน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วคนทั่วไปมักจะรู้จักกระแสน้ำที่ชื่อว่า กระแสน้ำกัลฟ์สตรีม (Gulf Stream) มันเป็นกระแสน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตส่วนใหญ่ของซีกโลกเหนือ และยังทำให้มนุษยชาติอบอุ่นจากความร้อนที่มันพาไป รูปแบบการหมุนเวียนเหล่านี้ถูกขับเคลื่อนโดยความเค็มที่แตกต่างกันระหว่างน้ำในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหมายความว่าหากสมดุลนี้เปลี่ยนแปลงไป กระแสน้ำของโลกก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นักวิทยาศาสตร์กล่าวสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับอีกหนึ่งกระแสน้ำที่แรงที่สุดในโลกแต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนักนั่นคือ กระแสน้ำหมุนเวียนแอนตาร์กติก (ACC) “มหาสมุทรมีความซับซ้อนและมีความสมดุลอย่างมาก หาก ‘เครื่องยนต์’ ในปัจจุบันพังลง ก็อาจเกิดผลกระทบร้ายแรงต่าง ๆ เช่น สภาพภูมิอากาศแปรปรวนมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงมากขึ้นในบางภูมิภาค และโลกร้อนเร็วขึ้นเนื่องจากมหาสมุทรเก็บคาร์บอนได้น้อยลง” บิชาขทัตตะ เกเยน (Bishakhdatta Gayen) รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น กล่าว

เกเยนคือหนึ่งในทีมวิจัยที่ได้รายงานผลกระทบต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โดยร่วมมือกับศูนย์วิจัยนอร์เวย์ ‘NORCE’ และได้เผยแพร่ไว้ในวารสาร Environmental Research Letters ปกติแล้ว ACC นั้นมีความแรงมากซึ่งแรงมากกว่ากระแสน้ำทั่วไปถึง 4 เท่า ทำให้มันกลายเป็นส่วนสำคัญของ ‘สายพานลำเลียงมหาสมุทร’ ของโลก ทำให้กระแสน้ำอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียไหลต่อไปได้ และยังเป็นกลไกหลักในการแลกเปลี่ยนความร้อน คาร์บอนไดออกไซด์ สารอาหาร และชีววิทยาข้ามแอ่งมหาสมุทรเหล่านี้

People Also Search

กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้

กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้ ด้วยพลังการเคลื่อนตัวที่แรงกว่ากระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม (AMOC) ถึง 5 เท่า และไหลเชี่ยวกรากยิ่งกว่าแม่น้ำแอมะซอนถึง 100 เท่า กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน...

“กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้” (Antarctic Circumpolar Current) เป็นกระแสน้ำตามเข็มนาฬิกาที่แรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่เชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียถึง 5 เท่า อีกทั้งแรงกว่าแม่น้ำแอมะซอน

“กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้” (Antarctic Circumpolar Current) เป็นกระแสน้ำตามเข็มนาฬิกาที่แรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่เชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียถึง 5 เท่า อีกทั้งแรงกว่าแม่น้ำแอมะซอน 100 เท่า นับเป็นกระแสน้ำที่มีบทบาทสำคัญในระบบสภาพอากาศ โดยมีอิทธิพลต่อการดูดซับความร้อนและคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทร และป้องกันไม่ให้น้ำอุ่นไหลไปถึงแอนตาร์กติกา กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอ...

กระแสน้ำที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเรา คือกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ กระแสน้ำนี้ไหลวนตามเข็มนาฬิการอบทวีปแอนตาร์กติกาที่ใต้สุดของโลก พลังงานแรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมในมหาสมุทรแอตแลนติกถึง 5 เท่า และมากกว่าแม่น้ำแอมะซอนกว่าร้อยเท่า ทั้งยังทำหน้าที่เป็นสายพานเชื่อมสามมหามุทรใหญ่ของโลก: แปซิฟิก, แอตแลนติก

กระแสน้ำที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเรา คือกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ กระแสน้ำนี้ไหลวนตามเข็มนาฬิการอบทวีปแอนตาร์กติกาที่ใต้สุดของโลก พลังงานแรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมในมหาสมุทรแอตแลนติกถึง 5 เท่า และมากกว่าแม่น้ำแอมะซอนกว่าร้อยเท่า ทั้งยังทำหน้าที่เป็นสายพานเชื่อมสามมหามุทรใหญ่ของโลก: แปซิฟิก, แอตแลนติก และอินเดียเอาไว้ด้วยกัน กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้เกิดจากกระทบกันของกระแสลมแรงตะวันตกบริเวณมหาสมุทรทาง...

เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมกรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 51°30’ N กลับมีอากาศที่อบอุ่นกว่าเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ที่ละติจูด 43°3’51 ทั้งที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า คำตอบคือ โลกเราเฉลี่ยอุณหภูมิโดยอาศัยการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร

เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมกรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ละติจูด 51°30’ N กลับมีอากาศที่อบอุ่นกว่าเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ที่ละติจูด 43°3’51 ทั้งที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากกว่า คำตอบคือ โลกเราเฉลี่ยอุณหภูมิโดยอาศัยการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร ดุจสายพานลำเลียงความร้อน-ความเย็นขนาดยักษ์ จุดเริ่มต้นการทำงานของสายพานนี้อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือใกล้เกาะกรีนแลนด์ สภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นจะทำใ...

เกเยนคือหนึ่งในทีมวิจัยที่ได้รายงานผลกระทบต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โดยร่วมมือกับศูนย์วิจัยนอร์เวย์ ‘NORCE’ และได้เผยแพร่ไว้ในวารสาร Environmental Research Letters ปกติแล้ว ACC นั้นมีความแรงมากซึ่งแรงมากกว่ากระแสน้ำทั่วไปถึง

เกเยนคือหนึ่งในทีมวิจัยที่ได้รายงานผลกระทบต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โดยร่วมมือกับศูนย์วิจัยนอร์เวย์ ‘NORCE’ และได้เผยแพร่ไว้ในวารสาร Environmental Research Letters ปกติแล้ว ACC นั้นมีความแรงมากซึ่งแรงมากกว่ากระแสน้ำทั่วไปถึง 4 เท่า ทำให้มันกลายเป็นส่วนสำคัญของ ‘สายพานลำเลียงมหาสมุทร’ ของโลก ทำให้กระแสน้ำอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียไหลต่อไปได้ และยังเป็นกลไกหลัก...