Bbc News ไทย กระแสน้ําวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก Antarctic Circumpolar

Leo Migdal
-
bbc news ไทย กระแสน้ําวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก antarctic circumpolar

กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้ ด้วยพลังการเคลื่อนตัวที่แรงกว่ากระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม (AMOC) ถึง 5 เท่า และไหลเชี่ยวกรากยิ่งกว่าแม่น้ำแอมะซอนถึง 100 เท่า กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน, และแร่ธาตุสารอาหารไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยสายพานลำเลียงนี้เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน ทั้งยังทำหน้าที่ควบคุมสภาพภูมิอากาศของโลกทั้งใบด้วย แต่ทว่าน้ำจืดเย็นที่ละลายออกมาจากน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา ได้เจือจางน้ำเค็มของมหาสมุทรแอนตาร์กติกให้มีความเข้มข้นลดลง จนถึงระดับที่อาจไปรบกวนกระแสน้ำสำคัญในมหาสมุทรดังกล่าวได้ ผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิจัยออสเตรเลีย จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเพิ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Research Letters ฉบับวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่ากระแสน้ำเอซีซีอาจไหลช้าและอ่อนแรงลงกว่าในปัจจุบันถึง 20% ภายในปี 2050 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสรรพชีวิตบนโลก กระแสน้ำเอซีซีนั้นเปรียบเสมือน "คูน้ำ" ซึ่งล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกาที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง โดยช่วยกั้นขวางไม่ให้กระแสน้ำอุ่นเข้ามาใกล้ จนสามารถปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่บอบบางไม่ให้ละลายได้ นอกจากนี้ กระแสน้ำเอซีซียังทำหน้าที่เหมือนกำแพงป้อมปราการ ซึ่งขัดขวางไม่ให้สิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานเข้ามา อย่างเช่นสาหร่ายทะเลกระทิงใต้ (southern bull kelp) ซึ่งมีขนาดใหญ่และเกาะตัวกันเป็นแพขนาดมหึมา

ในแต่ละปีน้ำเย็นปริมาณ 250 ล้านล้านตันจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรใต้หรือมหาสมุทรแอนตาร์กติก (Antarctic Ocean) ทำให้เกิดการหมุนเวียนแทนที่ของมวลน้ำจากเบื้องล่างที่อุ่นกว่าสู่ด้านบน ซึ่งนำพาสารอาหารที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตหลากหลายชนิดพันธุ์ขึ้นมาด้วย แต่ปัญหาภาวะโลกร้อนกำลังเป็นภัยคุกคามต่อระบบหมุนเวียนตามธรรมชาตินี้ โดยผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่าระบบหมุนเวียนน้ำแอนตาร์กติก (Antarctic overturning) กำลังเคลื่อนตัวช้าลงเรื่อย ๆ จนคาดว่าจะเหลือความเร็วเพียง 40% จากเดิม ภายใน 30 ปีข้างหน้า และระบบอาจหยุดทำงานจนถึงกับล่มสลายได้ในไม่ช้า รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ฉบับล่าสุด ชี้ว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้แผ่นน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกาละลายกลายเป็นน้ำจืดในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำเค็มที่เย็นจัดไม่จมตัวลงอย่างที่เคย ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของกระแสลมและอุณหภูมิในส่วนลึกของมหาสมุทรที่เริ่มร้อนผิดปกติ ทำให้ระบบหมุนเวียนน้ำจากก้นมหาสมุทรสู่ด้านบนชะลอความเร็วลง ศาสตราจารย์ แมตทิว อิงแลนด์ ผู้นำทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลียบอกว่า ผลการคำนวณด้วยแบบจำลองคอมพิวเตอร์โดยใช้ข้อมูลล่าสุด ชี้ว่าหากอัตราการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศโลกยังคงเป็นเช่นในปัจจุบัน เราจะไม่อาจหลีกเลี่ยงหายนะภัยที่ใหญ่หลวงได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากระบบหมุนเวียนน้ำแอนตาร์กติกช่วยหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตในมหาสมุทร โดยนำพาสารอาหารและออกซิเจนให้กระจายออกไปอย่างทั่วถึง ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันกระแสน้ำในมหาสมุทรอื่น ๆ อีกหลายแห่งทั่วโลกด้วย “กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้” (Antarctic Circumpolar Current) เป็นกระแสน้ำตามเข็มนาฬิกาที่แรงกว่ากระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่เชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียถึง 5 เท่า อีกทั้งแรงกว่าแม่น้ำแอมะซอน 100 เท่า นับเป็นกระแสน้ำที่มีบทบาทสำคัญในระบบสภาพอากาศ โดยมีอิทธิพลต่อการดูดซับความร้อนและคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทร และป้องกันไม่ให้น้ำอุ่นไหลไปถึงแอนตาร์กติกา

กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters เผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างน้ำแข็งละลายจากชั้นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา และกระแสน้ำรอบขั้วโลกที่ไหลช้าลง ซึ่งเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากมีรายงานอีกฉบับที่พบว่า กระแสน้ำที่สำคัญในมหาสมุทรแอตแลนติกจะอ่อนกำลังลง นักวิจัยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และ Gadi เครื่องจำลองสภาพอากาศที่เร็วที่สุดของออสเตรเลีย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การละลายของน้ำแข็ง และสภาพลมที่มีต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โดยแบบจำลองนี้จับภาพคุณลักษณะที่คนอื่นมักมองข้าม เช่น กระแสน้ำวน ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่แม่นยำกว่ามาก ในการคาดการณ์อนาคตนี้ พบว่า น้ำแข็งที่ละลายจากทวีปแอนตาร์กติกาจะอพยพไปทางเหนือและเติมเต็มมหาสมุทรที่ลึกลงไป ส่งผลให้โครงสร้างความหนาแน่นของมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ถือเป็น “การปรับโครงสร้างใหม่ของพลวัตของมหาสมุทรใต้” กระแสน้ำในมหาสมุทรของโลกนั้นเป็นเหมือน ‘สายพาน’ ที่คอยหมุนเวียนตั้งแต่สารอาหารไปจนถึงอุณหภูมิบนแผ่นดิน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วคนทั่วไปมักจะรู้จักกระแสน้ำที่ชื่อว่า กระแสน้ำกัลฟ์สตรีม (Gulf Stream) มันเป็นกระแสน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตส่วนใหญ่ของซีกโลกเหนือ และยังทำให้มนุษยชาติอบอุ่นจากความร้อนที่มันพาไป รูปแบบการหมุนเวียนเหล่านี้ถูกขับเคลื่อนโดยความเค็มที่แตกต่างกันระหว่างน้ำในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหมายความว่าหากสมดุลนี้เปลี่ยนแปลงไป กระแสน้ำของโลกก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นักวิทยาศาสตร์กล่าวสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับอีกหนึ่งกระแสน้ำที่แรงที่สุดในโลกแต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนักนั่นคือ กระแสน้ำหมุนเวียนแอนตาร์กติก (ACC)

“มหาสมุทรมีความซับซ้อนและมีความสมดุลอย่างมาก หาก ‘เครื่องยนต์’ ในปัจจุบันพังลง ก็อาจเกิดผลกระทบร้ายแรงต่าง ๆ เช่น สภาพภูมิอากาศแปรปรวนมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงมากขึ้นในบางภูมิภาค และโลกร้อนเร็วขึ้นเนื่องจากมหาสมุทรเก็บคาร์บอนได้น้อยลง” บิชาขทัตตะ เกเยน (Bishakhdatta Gayen) รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น กล่าว เกเยนคือหนึ่งในทีมวิจัยที่ได้รายงานผลกระทบต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โดยร่วมมือกับศูนย์วิจัยนอร์เวย์ ‘NORCE’ และได้เผยแพร่ไว้ในวารสาร Environmental Research Letters ปกติแล้ว ACC นั้นมีความแรงมากซึ่งแรงมากกว่ากระแสน้ำทั่วไปถึง 4 เท่า ทำให้มันกลายเป็นส่วนสำคัญของ ‘สายพานลำเลียงมหาสมุทร’ ของโลก ทำให้กระแสน้ำอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียไหลต่อไปได้ และยังเป็นกลไกหลักในการแลกเปลี่ยนความร้อน คาร์บอนไดออกไซด์ สารอาหาร และชีววิทยาข้ามแอ่งมหาสมุทรเหล่านี้

People Also Search

กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้

กระแสน้ำวนรอบขั้วโลกแอนตาร์กติก (Antarctic Circumpolar Current ) หรือ "เอซีซี" (ACC) เป็นกระแสน้ำในมหาสมุทรสายที่ไหลแรงที่สุดของโลก โดยไหลวนตามเข็มนาฬิกาไปรอบทวีปที่ตั้งของขั้วโลกใต้ ด้วยพลังการเคลื่อนตัวที่แรงกว่ากระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม (AMOC) ถึง 5 เท่า และไหลเชี่ยวกรากยิ่งกว่าแม่น้ำแอมะซอนถึง 100 เท่า กระแสน้ำเอซีซีเป็นส่วนหนึ่งของ "สายพานลำเลียง" ในมหาสมุทร ซึ่งขนส่งทั้งมวลน้ำ, อุณหภูมิความร้อน...

ในแต่ละปีน้ำเย็นปริมาณ 250 ล้านล้านตันจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรใต้หรือมหาสมุทรแอนตาร์กติก (Antarctic Ocean) ทำให้เกิดการหมุนเวียนแทนที่ของมวลน้ำจากเบื้องล่างที่อุ่นกว่าสู่ด้านบน ซึ่งนำพาสารอาหารที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตหลากหลายชนิดพันธุ์ขึ้นมาด้วย แต่ปัญหาภาวะโลกร้อนกำลังเป็นภัยคุกคามต่อระบบหมุนเวียนตามธรรมชาตินี้ โดยผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่าระบบหมุนเวียนน้ำแอนตาร์กติก (Antarctic

ในแต่ละปีน้ำเย็นปริมาณ 250 ล้านล้านตันจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรใต้หรือมหาสมุทรแอนตาร์กติก (Antarctic Ocean) ทำให้เกิดการหมุนเวียนแทนที่ของมวลน้ำจากเบื้องล่างที่อุ่นกว่าสู่ด้านบน ซึ่งนำพาสารอาหารที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตหลากหลายชนิดพันธุ์ขึ้นมาด้วย แต่ปัญหาภาวะโลกร้อนกำลังเป็นภัยคุกคามต่อระบบหมุนเวียนตามธรรมชาตินี้ โดยผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่าระบบหมุนเวียนน้ำแอนตาร์กติก (Antarctic overturning) กำลังเคลื่อนตัว...

กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters

กระแสน้ำรอบแอนตาร์กติกาเปรียบเสมือนคูน้ำรอบทวีปน้ำแข็ง กระแสน้ำช่วยป้องกันไม่ให้มีน้ำอุ่น ช่วยปกป้องแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง และมีกระแสน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลกอีกด้วย แต่กระแสน้ำอาจจะได้รับไหลช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Environmental Research Letters เผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างน้ำแข็งละลายจากชั้นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา และกระแสน้ำรอบขั้วโลกที่ไหลช...

“มหาสมุทรมีความซับซ้อนและมีความสมดุลอย่างมาก หาก ‘เครื่องยนต์’ ในปัจจุบันพังลง ก็อาจเกิดผลกระทบร้ายแรงต่าง ๆ เช่น สภาพภูมิอากาศแปรปรวนมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงมากขึ้นในบางภูมิภาค และโลกร้อนเร็วขึ้นเนื่องจากมหาสมุทรเก็บคาร์บอนได้น้อยลง”

“มหาสมุทรมีความซับซ้อนและมีความสมดุลอย่างมาก หาก ‘เครื่องยนต์’ ในปัจจุบันพังลง ก็อาจเกิดผลกระทบร้ายแรงต่าง ๆ เช่น สภาพภูมิอากาศแปรปรวนมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงมากขึ้นในบางภูมิภาค และโลกร้อนเร็วขึ้นเนื่องจากมหาสมุทรเก็บคาร์บอนได้น้อยลง” บิชาขทัตตะ เกเยน (Bishakhdatta Gayen) รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น กล่าว เกเยนคือหนึ่งในทีมวิจัยที่ได้รายงานผลกระทบต่อกระแสน้ำรอบขั้วโลกแอนตาร์กติกา โ...