The Matter Brief สัตว์น้ําขนาดใหญ่กําลังขาดอากาศหายใจ

Leo Migdal
-
the matter brief สัตว์น้ําขนาดใหญ่กําลังขาดอากาศหายใจ

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนบนโลกใบนี้ ต่างก็ใช้ก๊าซออกซิเจนเป็นอากาศหายใจกันทั้งนั้น แต่ถ้าวันนึง ออกซิเจนที่เราใช้หายใจเกิดหมดขึ้นมาล่ะ เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? ปัญหานี้กำลังเกิดขึ้นกับมหาสมุทร เมื่อออกซิเจนในท้องทะเลกำลังหมดลง เพราะการทำเกษตรกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบัน พื้นที่มหาสมุทรประมาณ 700 แห่ง มีปริมาณออกซิเจนอยู่ในระดับต่ำจนอันตราย เมื่อเทียบกับอีก 45 แห่งในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งนักวิจัยระบุว่า การสูญเสียออกซิเจนในทะเลนี้ เป็นภัยคุกคามต่อสัตว์ทะเลหลายสปีชีส์ โดยเฉพาะสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เช่น ฉลาม ปลาทูน่า และปลากระโทงทั้งหลาย เกรเทล อากิลา (Grethel Aguilar) รักษาการผู้อำนวยการของสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (The International Union for the Conservation of Nature – IUCN) กล่าวในงานประชุม COP25 ว่า สุขภาพของมหาสมุทรควรเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญในการประชุมครั้งนี้ และอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้ออกซิเจนขาดแคลนอย่างหนัก ทั้งยังส่งผลให้ความสมดุลอันเปราะบางของสัตว์น้ำเกิดความยุ่งเหยิงอีกด้วย ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนต่ำลง ซึ่งตอนนี้ มหาสมุทรจะสูญเสียปริมาณออกซิเจนไปอีก 3-4% ภายในปี ค.ศ.2100 และจะเกิดผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลที่ 1,000 เมตรจากผิวน้ำ ซึ่งเป็นระดับที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุด รวมถึงแนวทะเลที่อยู่บริเวณกลางเส้นละติจูดถึงเหนือขึ้นไป ระดับออกซิเจนที่ลดต่ำลงนี้ ทำให้ปลาทั้งหลายต้องอพยพไปยังผิวน้ำและพื้นที่ทะเลตื้น ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกจับปลาโดยชาวประมงมากขึ้น ขณะเดียวกัน บางพื้นที่ที่มีระดับออกซิเจนต่ำว่าจุดอื่นอยู่แล้ว แต่เมื่อออกซิเจนลดลง ก็อาจจะเพิ่มความเสียหายให้เกิดขึ้นกับพื้นที่ดังกล่าวหนักขึ้นไปอีก

ภาวะดังกล่าวย่อมส่งผลต่อระบบนิเวศทางทะเลทั่วโลก แบบจำลองใหม่พบว่ามหาสมุทรความลึกระดับกลางซึ่งเป็นทรัพยากรทางทะเลสำคัญของอุตสาหกรรมประมงเริ่มเผชิญกับภาวะสูญเสียออกซิเจนในอัตราเร็วที่ผิดธรรมชาติ และพ้นปริมาณวิกฤติของการสูญเสียออกซิเจนในปี พ.ศ. 2564 มหาสมุทรมีออกซิเจนละลายในรูปของแก๊ส สัตว์น้ำก็ไม่ต่างจากสัตว์บกที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนในการหายใจ แต่ยิ่งมหาสมุทรอุ่นขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น้ำทะเลก็มีปริมาณออกซิเจนละลายได้น้อยลง นักวิทยาศาสตร์ติดตามการลดลงของออกซิเจนในมหาสมุทรต่อเนื่องหลายปี แต่งานวิจัยชิ้นใหม่นี้เน้นให้เห็นถึงเหตุผลที่เราควรกังวลและหาทางแก้ไขปัญหาก่อนที่จะสายเกินแก้ งานวิจัยชิ้นใหม่คืองานชิ้นแรกที่ใช้แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อทำนายภาวะการลดลงของออกซิเจนซึ่งหมายถึงปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำลดลงในมหาสมุทรทั่วโลกเกินกว่าวัฏจักรตามธรรมชาติ ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร ผลการวิจัยพบว่าการลดลงซึ่งไม่อาจฟื้นฟูได้ของปริมาณออกซิเจนในมหาสมุทร ณ ระดับความลึกระดับกลางซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลากหลายชนิดพันธุ์เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2564 และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมงทั่วโลก แบบจำลองใหม่นี้คาดว่าภาวะขาดออกซิเจนจะเริ่มส่งผลกระทบเป็นวงกว้างภายในปี พ.ศ.

2623 ผลการศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters ความลึกระดับกลางของมหาสุมทร (ตั้งแต่ 200 เมตรถึง 1,000 เมตร) หรือที่เรียกว่าเขตสนธยา (mesopelagic zones) จะเป็นพื้นที่แรกซึ่งสูญเสียปริมาณออกซิเจนอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พื้นที่ดังกล่าวคือแหล่งอาศัยสำคัญของปลาเศรษฐกิจหลากชนิดพันธุ์ ความสูญเสียนั้นอาจส่งผลกระทบเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ การขาดแคลนอาหารทะเล และนิเวศทางทะเลที่ถูกทำลาย ปลากระโทงสีน้ำเงินว่ายอยู่ในทะเลคอร์เตส บริเวณคาบสมุทรบาฮากาลิฟอร์เนีย ปลากระโทงเป็นหนึ่งในบรรดาปลาที่ว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำของมหาสมุทรเพราะหนีเขตออกซิเจนต่ำที่อยู่เบื้องล่าง วันหนึ่งเมื่อกว่า 10 ปีก่อน เอริก พรินซ์ กำลังศึกษาเส้นทางของปลาที่ถูกติดป้าย เขาสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกพิกล ถ้าเป็นปลากระโทงสีน้ำเงินทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาคงจะว่ายลึกลงไปเกือบกิโลเมตรเพื่อไล่ล่าเหยื่อ แต่ชนิดพันธุ์เดียวกันนี้ในคอสตาริกาและกัวเตมาลากลับขึ้นมาอยู่ใกล้ผิวน้ำ แทบจะไม่ดำลึกลงไปเกินกว่า 50-60 เมตรเลย พรินซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปลากระโทงซึ่งเกษียณจากองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ถึงกับงุนงง เขาศึกษาปลากระโทงแถบไอวอรีโคสต์และกานา จาไมกาและบราซิล แต่ก็ไม่เห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน ทำไมนักดำน้ำอย่างปลากระโทงพวกนี้ถึงจะไม่ดำน้ำกันเล่า ปรากฏว่าพวกปลากระโทงกำลังพยายามหลีกหนีจากภาวะขาดอากาศหายใจ ปลากระโทงที่อยู่ใกล้กัวเตมาลาและคอสตาริกาไม่ยอมพุ่งตัวลงไปในความลึกระดับมิดมืดเพราะพวกมันหลีกเลี่ยงแถบน้ำลึกใต้สมุทรขนาดใหญ่ที่มีออกซิเจนอยู่น้อยนิดและขยายเป็นวงกว้าง การค้นพบดังกล่าวเป็นตัวอย่างแรกๆ ในหลายวิธีที่สัตว์ทะเลใช้รับมือกับความจริงใหม่ที่ไม่มีใครสนใจ นั่นคือน่านน้ำในทะเล ต่อให้ไกลออกไปถึงทะเลหลวง (ทะเลที่ไม่ได้อยู่ในเขตน่านน้ำของประเทศใดๆ) กำลังเสียออกซิเจนไปเพราะ สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และทำให้ชีวิตความเป็นอยู่และที่อาศัยของเหล่าสัตว์ทะเลต้องพลิกผัน จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “นี่เป็นปัญหาระดับโลกและภาวะโลกร้อนทำให้มันแย่หนักขึ้น” เดนิส เบรตเบิร์ก นักวิทยาศาสตร์อาวุโสที่ศูนย์วิจัยสมิทโซเนียน กล่าว “เราต้องหาทางออกระดับโลก” เบรตเบิร์กเป็นนักเขียนหลักของงานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ลงวารสาร Science ซึ่งศึกษางานวิจัยชิ้นสำคัญๆ ที่เกี่ยวกับการที่มหาสมุทรขาดออกซิเจน คณะวิจัยสรุปว่าออกซิเจนในพื้นที่กว้างใหญ่ของมหาสมุทรกำลังหมดลง เปลี่ยนวิถีการอยู่และการกินของสิ่งมีชีวิตในทะเล และเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตปลาและประชากรปลาโดยรวม และเป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดประมงเกินขนาด การที่ออกซิเจนหมดจากมหาสมุทร ก็เช่นเดียวกับน้ำทะเลที่ร้อนขึ้นและกลายเป็นกรดมากขึ้น เป็นหนึ่งใน “ผลพลอยได้” ของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง แต่น้อยคนนักจะเข้าใจ

“การสูญไปของออกซิเจนอย่างขนานใหญ่เป็นความล่มสลายของระบบนิเวศ” เบรตเบิร์กกล่าว “ถ้าเราทำลายผืนดินบนบกอย่างกว้างขวางจนสัตว์ส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ เราคงสังเกตได้ แต่เราจะไม่มองไม่เห็นปัญหาเช่นนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นในทะเล” งานวิจัยของเบรตเบิร์กไม่ได้จำเพาะอยู่เพียง “เขตชายฝั่งมรณะ”อย่างปัญหามลพิษจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วในอ่าวเม็กซิโกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงแถบขนาดมหึมาในเขตน้ำลึกของน่านน้ำเปิดในมหาสมุทรที่ขยายออกไปนับพันๆ กิโลเมตร มหาสมุทรของเรากำลังเผชิญกับวิกฤต ระบบนิเวศมหาสมุทรและทะเลที่อุดมสมบูรณ์กำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการประมงเกินขนาด มลพิษพลาสติก การปนเปื้อนของสารพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามเหล่านี้ส่งผลให้ระบบนิเวศทางทะเลเสื่อมโทรม และเร่งให้สัตว์น้ำจำนวนมากต้องสูญพันธุ์หรือตกอยู่ในความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ อุตสาหกรรมการประมงต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อปกป้องมหาสมุทรและทะเลของเรา อุตสาหกรรมประมงเชิงพาณิชย์ที่ไร้ความรับผิดชอบออกแย่งชิงทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลที่มีปริมาณน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยเรือประมงที่พร้อมด้วยอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากการจับปลาในปริมาณมหาศาลแล้ว อุปกรณ์เหล่านี้ยังส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง ดอกไม้ทะเล หรือสัตว์หน้าดิน เร่งให้เกิดทำลายระบบนิเวศเกินกว่าการที่ธรรมชาติจะสามารถฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำได้ การทำประมงยุคใหม่นั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศโดยไม่จำเป็น ในทุกๆปี เครื่องมือประมงทำลายล้างและอวนลากคร่าชีวิตวาฬและโลมาไม่น้อยกว่า 300,000 ตัวทั่วโลก เนื่องจากการใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสมกับประเภทสัตว์น้ำที่จับ วาฬ โลมา หรือฉลามจึงมักจะติดอวนลากขึ้นมาโดยไม่ใช่สัตว์น้ำกลุ่มเป้าหมาย และยังทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยและสัตว์น้ำประจำถิ่น ตัวอย่างเช่น เรืออวนลากที่ทำลายระบบนิเวศปะการังที่อยู่มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรณ์ ไปพร้อมกับระบบนิเวศทางทะเลที่เปราะบางโดยรอบ เรือประมงที่ละเมิดกฎหมายมักออกทำการประมง และไม่คำนึงถึงน่านน้ำของประเทศที่ขาดความมั่นคงทางอาหารและรายได้ โดยกิจการประมงที่ผิดกฎหมายนั้นจะให้ผลตอบแทนน้อยมากให้กับประเทศผู้เป็นเจ้าของน่านน้ำที่มีทรัพยากรสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ เช่นประเทศชายฝั่งทะเลของแอฟริกาและกลุ่มประเทศริมฝั่งและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทำให้ออกซิเจนในมหาสมุทรลดลงได้อย่างไร? เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่าทะเลทั่วโลกกำลัง ‘ขาดอากาศหายใจ’ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 โลกมีระดับออกซิเจนในมหาสมุทรลดลงประมาณ 2% แล้ว แม้อาจจะฟังดูไม่มาก แต่ปริมาณที่ลดลงอย่างต่อเนื่องนี้กำลังให้สัตว์น้ำหลายชนิด ‘ขาดอากาศหายใจ’ และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิด ‘หายนะ’ ทางระบบนิเวศ พร้อมกับลดความหลากหลายทางชีวภาพ โดยทั้งหมดนี้มาจากสาเหตุหลักเพียงอย่างเดียวคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ “เรากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางออกซิเจนจำนวนมาก และเราไม่คิดว่าการสูญเสียออกซิเจนเพียงเล็กน้อยจะส่งผลกับเรา” Dan Laffoley ที่ปรึกษาหลักในโครงการทางทะเลและขั้วโลกของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) กล่าว “แต่ถ้าเราไปอยู่ใกล้ ๆ ยอดเขาเอเวอเรสต์ที่มีออกซิเจนน้อย เราก็จะอยู่ในจุดที่ว่า การสูญเสียออกซิเจนเพียง 2% จะมีนัยสำคัญมาก” การสูญเสียออกซิเจนไม่เพียงแต่จะทำให้ชีวิตในทะเลต้องดิ้นรน แต่ยังส่งผลกระทบต่อการหมุนเวียนของธาตุต่าง ๆ ในโลกเช่น ไนโตรเจนหรือฟอสฟอรัส ซึ่งธาตุเหล่านั้นมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมหาสมุทร และอาจทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า ‘โรคกระดูกพรุนในทะเล’ การศึกษาบางชิ้นในเวลาต่อมาได้รายงานไว้ว่าระดับออกซิเจนอาจลดลงได้มากถึง 40-50% ในบางพื้นที่โดยเฉพาะเขตร้อน ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามข่าวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่ปลานับหมื่นนับแสนตัวตายเพราะขาดอากาศหายใจ แต่สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้อย่างไร?

People Also Search

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนบนโลกใบนี้ ต่างก็ใช้ก๊าซออกซิเจนเป็นอากาศหายใจกันทั้งนั้น แต่ถ้าวันนึง ออกซิเจนที่เราใช้หายใจเกิดหมดขึ้นมาล่ะ เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? ปัญหานี้กำลังเกิดขึ้นกับมหาสมุทร เมื่อออกซิเจนในท้องทะเลกำลังหมดลง เพราะการทำเกษตรกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบัน พื้นที่มหาสมุทรประมาณ

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนบนโลกใบนี้ ต่างก็ใช้ก๊าซออกซิเจนเป็นอากาศหายใจกันทั้งนั้น แต่ถ้าวันนึง ออกซิเจนที่เราใช้หายใจเกิดหมดขึ้นมาล่ะ เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? ปัญหานี้กำลังเกิดขึ้นกับมหาสมุทร เมื่อออกซิเจนในท้องทะเลกำลังหมดลง เพราะการทำเกษตรกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบัน พื้นที่มหาสมุทรประมาณ 700 แห่ง มีปริมาณออกซิเจนอยู่ในระดับต่ำจนอันตราย เมื่อเทียบกับอีก 45 แห่งในช่วงทศวรร...

ภาวะดังกล่าวย่อมส่งผลต่อระบบนิเวศทางทะเลทั่วโลก แบบจำลองใหม่พบว่ามหาสมุทรความลึกระดับกลางซึ่งเป็นทรัพยากรทางทะเลสำคัญของอุตสาหกรรมประมงเริ่มเผชิญกับภาวะสูญเสียออกซิเจนในอัตราเร็วที่ผิดธรรมชาติ และพ้นปริมาณวิกฤติของการสูญเสียออกซิเจนในปี พ.ศ. 2564 มหาสมุทรมีออกซิเจนละลายในรูปของแก๊ส สัตว์น้ำก็ไม่ต่างจากสัตว์บกที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนในการหายใจ แต่ยิ่งมหาสมุทรอุ่นขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น้ำทะเลก็มีปริมาณออกซิเจนละลายได้น้อยลง นักวิทยาศาสตร์ติดตามการลดลงของออกซิเจนในมหาสมุทรต่อเนื่องหลายปี

ภาวะดังกล่าวย่อมส่งผลต่อระบบนิเวศทางทะเลทั่วโลก แบบจำลองใหม่พบว่ามหาสมุทรความลึกระดับกลางซึ่งเป็นทรัพยากรทางทะเลสำคัญของอุตสาหกรรมประมงเริ่มเผชิญกับภาวะสูญเสียออกซิเจนในอัตราเร็วที่ผิดธรรมชาติ และพ้นปริมาณวิกฤติของการสูญเสียออกซิเจนในปี พ.ศ. 2564 มหาสมุทรมีออกซิเจนละลายในรูปของแก๊ส สัตว์น้ำก็ไม่ต่างจากสัตว์บกที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนในการหายใจ แต่ยิ่งมหาสมุทรอุ่นขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากา...

2623 ผลการศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters ความลึกระดับกลางของมหาสุมทร (ตั้งแต่ 200 เมตรถึง 1,000

2623 ผลการศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters ความลึกระดับกลางของมหาสุมทร (ตั้งแต่ 200 เมตรถึง 1,000 เมตร) หรือที่เรียกว่าเขตสนธยา (mesopelagic zones) จะเป็นพื้นที่แรกซึ่งสูญเสียปริมาณออกซิเจนอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พื้นที่ดังกล่าวคือแหล่งอาศัยสำคัญของปลาเศรษฐกิจหลากชนิดพันธุ์ ความสูญเสียนั้นอาจส่งผลกระทบเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ การขาดแคลนอาหารทะเล และนิ...

“การสูญไปของออกซิเจนอย่างขนานใหญ่เป็นความล่มสลายของระบบนิเวศ” เบรตเบิร์กกล่าว “ถ้าเราทำลายผืนดินบนบกอย่างกว้างขวางจนสัตว์ส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ เราคงสังเกตได้ แต่เราจะไม่มองไม่เห็นปัญหาเช่นนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นในทะเล” งานวิจัยของเบรตเบิร์กไม่ได้จำเพาะอยู่เพียง “เขตชายฝั่งมรณะ”อย่างปัญหามลพิษจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วในอ่าวเม็กซิโกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงแถบขนาดมหึมาในเขตน้ำลึกของน่านน้ำเปิดในมหาสมุทรที่ขยายออกไปนับพันๆ กิโลเมตร

“การสูญไปของออกซิเจนอย่างขนานใหญ่เป็นความล่มสลายของระบบนิเวศ” เบรตเบิร์กกล่าว “ถ้าเราทำลายผืนดินบนบกอย่างกว้างขวางจนสัตว์ส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ เราคงสังเกตได้ แต่เราจะไม่มองไม่เห็นปัญหาเช่นนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นในทะเล” งานวิจัยของเบรตเบิร์กไม่ได้จำเพาะอยู่เพียง “เขตชายฝั่งมรณะ”อย่างปัญหามลพิษจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วในอ่าวเม็กซิโกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงแถบขนาดมหึมาในเขตน้ำลึกของน่านน้ำเปิดในมหาสมุทรที่...

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทำให้ออกซิเจนในมหาสมุทรลดลงได้อย่างไร? เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่าทะเลทั่วโลกกำลัง ‘ขาดอากาศหายใจ’ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 โลกมีระดับออกซิเจนในมหาสมุทรลดลงประมาณ 2% แล้ว แม้อาจจะฟังดูไม่มาก แต่ปริมาณที่ลดลงอย่างต่อเนื่องนี้กำลังให้สัตว์น้ำหลายชนิด

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทำให้ออกซิเจนในมหาสมุทรลดลงได้อย่างไร? เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่าทะเลทั่วโลกกำลัง ‘ขาดอากาศหายใจ’ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 โลกมีระดับออกซิเจนในมหาสมุทรลดลงประมาณ 2% แล้ว แม้อาจจะฟังดูไม่มาก แต่ปริมาณที่ลดลงอย่างต่อเนื่องนี้กำลังให้สัตว์น้ำหลายชนิด ‘ขาดอากาศหายใจ’ และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิด ‘หายนะ’ ทางระบบนิเวศ พร้อมกับลดความหลากหลายทางชีวภาพ โดยทั้งหมดนี้มาจากสาเหตุหลั...