Greenwashing เมื่อ Esg กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาด เจาะลึกปัญหาองค์กร
เมื่อพูดถึงคำว่า Sustainability หรือ ความยั่งยืน หลายคนอาจจะนึกถึงภาพการปลูกป่า, การเก็บขยะชายหาด หรือกิจกรรม CSR สวย ๆ ที่องค์กรทำปีละครั้ง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่บอกเลยว่าในยุคนี้ ความคิดแบบนั้น “เอาท์” ไปแล้ว! Sustainability ไม่ใช่แค่เทรนด์ผ่าน ๆ หรือ “ทางเลือก” สำหรับธุรกิจที่ใจดีอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “ทางรอด” ที่สำคัญที่สุดของธุรกิจในระยะยาว เพราะในวันนี้ ทั้งผู้บริโภคยุคใหม่ และนักลงทุนทั่วโลก ต่างเทใจและเม็ดเงินให้กับแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจโดยใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสังคมอย่างแท้จริง คำถามคือ การทำดีเพื่อโลกจะสามารถ สร้างกำไร ได้จริงหรือ? The BusinessSauce จะพาไปหาคำตอบ ผ่าน Case Study ของแบรนด์ระดับโลกและในไทย ที่พิสูจน์แล้วว่าธุรกิจยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นกลยุทธ์ที่ทำเงินได้จริง โดยมีเข็มทิศสำคัญที่เรียกว่า ESG การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ แต่มันมีแรงผลักดันสำคัญมาจากทุกทิศทาง เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ต้องเข้าใจก่อนว่า ธุรกิจยั่งยืนในยุคใหม่นั้นลึกซึ้งกว่า CSR (Corporate Social Responsibility) มาก โดย CSR มักจะเป็นกิจกรรมที่แยกส่วน ออกมาจากการดำเนินงานหลัก เช่น การบริจาค หรือการจัดอีเวนต์เพื่อสังคม แต่ ESG คือการฝังความยั่งยืน เข้าไปใน DNA และโมเดลธุรกิจขององค์กรเลยทีเดียว
ในยุคที่ “ภาวะโลกร้อน” เป็นปัญหาสำคัญ ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น Green Marketing จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่องค์กร หรือแบรนด์ต่าง ๆ มักนำมาใช้ แต่หากองค์กรวางแผนกลยุทธ์อย่างไม่ระมัดระวัง จากการตลาดสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม อาจกลายเป็นการฟอกเขียว หรือ Greenwashing แทนได้ บทความนี้ SPARK Factor มีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ ข้อแตกต่าง Green Marketing VS Greenwashing ยั่งยืนจริงหรือแค่หลอก มากฝากกัน ก่อนจะไปเจาะลึกถึงข้อแตกต่างระหว่าง Green Marketing และ Greenwashing ที่หลายคนอาจเข้าใจผิด มาดูกันก่อนว่าแท้จริงแล้วทั้ง 2 คำมีความหมายว่าอะไรบ้าง Green Marketingหรือการตลาดสีเขียว คือ การวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ตั้งแต่กระบวนการผลิต การสื่อสาร ไปจนถึงการจัดจำหน่าย ยกตัวอย่างเช่น เนื่องจากในทุก ๆ ปี มีเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้แล้วถูกทิ้งกว่าล้านชิ้น IKEA เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงเกิดเป็น “บริการซื้อ-ขายเฟอร์นิเจอร์อิเกียที่ใช้แล้ว” ขึ้นมา โดยลูกค้าสามารถนำเฟอร์นิเจอร์อิเกียที่ใช้แล้ว มาประเมินราคาที่สาขา ทางพนักงานจะทำการประเมินราคา และจ่ายเป็นบัตรของขวัญตามจำนวนเงินที่ประเมินได้ หลังจากนั้นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นจะถูกนำไปขายในแผนกสินค้าตามสภาพ การฟอกเขียว ซึ่งหมายถึงการที่บริษัทพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือมีความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง หรือทำแค่นิดหน่อยพอให้มีภาพลักษณ์
การฟอกเขียวมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเลือกรายงานเฉพาะข้อมูลด้านบวก การใช้ภาษาที่คลุมเครือ ไปจนถึงการตั้งเป้าหมายที่ไกลเกินจริง ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่แห่งหนึ่งประกาศว่าจะใช้ขวดพลาสติกรีไซเคิล 100% ภายในปี 2030 แต่กลับไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณพลาสติกที่ใช้ในปัจจุบัน หรือแผนการลดการใช้พลาสติกโดยรวม นี่เป็นตัวอย่างของการใช้เป้าหมายที่ฟังดูดีแต่ขาดความโปร่งใสในรายละเอียด ในภาคพลังงาน เราอาจพบกรณีของบริษัทที่โฆษณาตัวเองว่าเป็น “ผู้นำด้านพลังงานสะอาด” โดยอ้างถึงการลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลม แต่ในความเป็นจริง รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การนำเสนอข้อมูลเช่นนี้อาจทำให้นักลงทุนและผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาพรวมการดำเนินงานของบริษัท สำหรับภาคการเงิน เราอาจพบกรณีของธนาคารที่ประกาศนโยบาย “การให้สินเชื่อที่รับผิดชอบ” แต่ในทางปฏิบัติยังคงให้เงินกู้แก่โครงการที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยอ้างว่าเป็นเพียงส่วนน้อยของภาพรวมการปล่อยสินเชื่อทั้งหมด กรุงเทพธุรกิจศุภกร เอกชัยไพบูลย์ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน 1ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การฟอกเขียวธุรกิจ หรือ Green Washing คือ การเปิดเผยข้อมูลหรือข้อความที่แสดงความเป็นมิตรต่อสังคมและ/หรือสิ่งแวดล้อมของธุรกิจที่เกินความเป็นจริง เพื่อหวังจะให้ธุรกิจสามารถขายของหรือสร้างกำไรบนความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม
ผมเชื่อว่าผู้บริโภคยุคนี้รับรู้ได้ว่าข้อมูลแบบไหนที่เน้นขายบนความรู้สึกคนมากเกินไป และเมื่อบริษัทประพฤติไม่เหมาะสมหรือสร้างความเดือดร้อนให้ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น การรั่วไหลของน้ำมันใน Deepwater Horizon ของ BP หรือเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการรายงานข้อมูลคาร์บอนและการปล่อยมลพิษของ Volkswagen ก็ทำให้เห็นแล้วว่า Green Wash เป็นความเสี่ยงที่ลบทุกความเชื่อมั่นจากธุรกิจ จนสร้างอิมแพคต่อเงินในกระเป๋าบริษัท สอดคล้องกับงานสำรวจของ Harvard Business Review (HBR)[1] ที่แสดงให้เห็นว่าผู้มีส่วนได้เสียจะลงโทษธุรกิจโดยการไม่ลงทุนหรือไม่ซื้อสินค้า และตีตราบริษัทนั้นว่าเป็นธุรกิจ Green Washing หากบริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบายและเป้าหมายที่สัญญาไว้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ส่งผลเสียต่อทัศนคติทางสังคมที่มีต่อสินค้าและบริการของบริษัทในระยะยาว ในมิติการลงทุน ข้อมูล ESG ไม่ใช่ผงซักฟอกธุรกิจให้ขาวสะอาดใส ที่ทำให้ท่านมั่นใจว่าธุรกิจเก่ง ดี และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตการลงทุนของท่าน การที่ทุกฝ่ายลุกขึ้นมาบอกให้ธุรกิจก็ต้องเปิดเผยข้อมูลที่เป็นด้านบวกและลบอย่างสมดุล โดยไม่มีกระบวนการตรวจสอบอย่างเป็นกลาง ยิ่งทับถมปัญหาการใช้ข้อมูล ESG ในการฟอกธุรกิจ ขณะที่คนเปิดเผยข้อมูลก็มองเป็นดาบสองคม เพราะถ้าเปิดข้อมูลที่ลบเกินไป คนก็ไม่กล้าลงทุนเพราะเสี่ยงสูง แต่ถ้าเปิดข้อมูลที่เป็นบวกเกินไป คนก็ไม่กล้าลงทุนอีกเพราะเห็นข้อมูลแค่ด้านเดียว มิหนำซ้ำการมีกระบวนการตรวจสอบทำให้ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้นไปอีก ดังนั้น ถ้าต้องเลือก ธุรกิจก็จะเปิดเผยข้อมูลเท่าที่ทำได้ และรายงานแบบ propaganda “โปร ปะ กัน (โดน) ด่า” มากกว่า เราต้องมาขบคิดกันว่าจะจัดการปัญหา Green Washing แบบไหนที่ตอบโจทย์ทั้งธุรกิจและผู้บริโภคข้อมูล ผมอ่านแนวทางหลีกเลี่ยงปัญหาเบื้องต้น พบว่ามีหลากหลายวิธี เช่น การอ้างสิทธิ์ในสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควรตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับของที่มาสินค้าได้ด้วย หรือบริษัทควรพิสูจน์ได้ว่าข้อมูลของสินค้า บริการ หรือการดำเนินธุรกิจมีหน่วยงานหรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเป็นผู้รับรองข้อมูลที่เป็นวิชาการ เป็นต้น เวลานี้ภาคธุรกิจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับการปรับใช้ประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ โดยแต่ละบริษัทมีพัฒนาการปรับใช้แตกต่างกัน จากข้อมูลผลสำรวจของ Nasdaq ที่สำรวจผู้บริหารบริษัทในอเมริกาเหนือและยุโรป พบว่า 15% ระบุว่าบริษัทเพิ่งปรับใช้ประเด็น ESG ในปี 2023 เป็นปีแรก อีก 30% ปรับใช้มาแล้ว 1-2 ปี ขณะที่มีมากถึง 46% ที่ปรับใช้มาแล้ว 3-5 ปี และอีก 9% ที่ใช้มาเกินกว่า 5 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม 34% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่าธุรกิจกำลังเผชิญความท้าทายบนประเด็นการจัดทำรายงานด้าน ESG เปิดเผยต่อสาธารณชน ปัญหาหลักคือการจัดเก็บและเรียบเรียงข้อมูล รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับและภาคอุตสาหกรรมที่มีความแตกต่างกัน และสิ่งที่น่าสนใจคือมีถึง 39% ระบุว่าบริษัทไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดอันดับหรือการให้คะแนน ESG (ESG Rating) ของหน่วยงานภายนอก การเติบโตที่รวดเร็วของกระแสความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG อย่างกว้างขวาง รวมไปถึงมาตรฐานการประเมินและจัดอันดับ ESG ที่หลากหลาย นำไปสู่ปัญหา Greenwashing หรือการฟอกเขียว ซึ่งหมายถึงการสื่อสารที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดด้านการปฏิบัติตามประเด็น ESG อันเนื่องมาจากการให้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน การปฏิบัติไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้อง หรือไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แนวปฏิบัติที่ดี หรือมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ โดยประเด็นนี้มีความท้าทายต่อการลงทุนมาก หากบริษัทใดถูกกล่าวหาว่าเข้าข่าย Greenwashing แล้วก็อาจส่งผลกระทบต่อความน่าสนใจลงทุน รวมถึงความยั่งยืนของการดำเนินงานในอนาคตได้
อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นพัฒนาการของหน่วยงานกำกับที่เข้ามามีบทบาทจัดการกับ Greenwashing จากความพยายามในการออกกฎเกณฑ์ ข้อกำหนดเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ เช่น การสร้าง Taxonomy หรือมาตรฐานกลางที่มีเงื่อนไขอย่างชัดเจนและโปร่งใส เพื่อนำไปใช้อ้างอิงในการช่วยจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจประเภทต่างๆ ว่ามีผลกระทบต่อเป้าหมายด้าน ESG อย่างไร โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อมที่มีมาตรฐานออกมาชัดเจนที่สุด ตัวอย่างภูมิภาคที่พยายามวางแนวทางปราบปราม Greenwashing ชัดเจนคือสหภาพยุโรป (EU) ที่สร้าง EU Taxonomy ออกมาในระดับกฎหมาย โดยระบุชัดเจนว่ากิจกรรมเศรษฐกิจแบบไหนเรียกว่ากิจกรรมสีเขียว เข้าข่ายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์สิ่งแวดล้อม ทั้งยังทยอยออกกฎหมายลูกและข้อบังคับการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้วย ความยั่งยืนยังคงสำคัญ... แต่ผู้บริโภคกำลังจับตา "Greenwashing"ในโลกธุรกิจปัจจุบัน ความยั่งยืน ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำศัพท์ที่น่าสนใจอีกต่อไป แต่กลายเป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวนี้ ผู้บริโภคก็มีความระมัดระวังและเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียกว่า "Greenwashing" หรือการที่ธุรกิจอ้างว่าตนเองเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีความยั่งยืน โดยปราศจากหลักฐานที่แท้จริง ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งแนวโน้ม: ทำไมความยั่งยืนจึงสำคัญ และ Greenwashing กำลังถูกจับตา?* ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น: ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials มีความตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น พวกเขาพร้อมที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อโลกและชุมชน และคาดหวังให้ธุรกิจทำมากกว่าแค่แสวงหาผลกำไร* การเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายขึ้น: ด้วยอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และแนวปฏิบัติของบริษัทได้ง่ายขึ้น พวกเขาสามารถเปรียบเทียบข้อมูล, อ่านรีวิว, หรือแม้กระทั่งสืบค้นเบื้องหลังการผลิต* แรงกดดันจากสังคมและกฎหมาย: ทั้งองค์กรภาคประชาสังคมและหน่วยงานภาครัฐเริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนมากขึ้น... ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ตามรายงานของเอเจนซี่ Kantar ในเมืองลอนดอน ประมาณ 60% ของผู้บริโภคชาวเอเชียยินดีที่จะลงทุนเวลาและเงินมากขึ้นสำหรับบริษัทที่สนับสนุนสังคมและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจเพิ่มเติมของ Bain and Company เผยให้เห็นว่าความท้าทายหลักๆของการใช้จ่ายอย่างยั่งยืนสำหรับผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็คือการที่มีข้อมูลไม่เพียงพอและความไม่เชื่อใจในคำกล่าวอ้างของแบรนด์ แบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกผิดเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติ หรือที่เรียกว่า greenwashing สามารถทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อชื่อเสียงของแบรนด์ และที่แย่ไปกว่านั้นคือมันอาจจะไม่ใช่เจตนาของธุรกิจเสมอไป และสิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยผลกระทบ
แล้วองค์กรต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะหลีกเลี่ยงหลุมพรางของ greenwashing และยึดมั่นในคำพูดของพวกเราได้อย่างไร การร่วมมือกับเอเจนซี่การตลาดที่ยั่งยืนที่มีประสบการณ์เป็นหนึ่งในวิธีที่คุณสามารถให้ความไว้วางไจได้ แต่ก็มีขั้นตอนพื้นฐานบางข้อที่คุณสามารถนำไปใช้เพื่อป้องกันก่อนได้เช่นกัน Greenwashing หรือ การฟอกเขียว มีต้นแบบมาจากคำว่า “whitewashing” เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จหรือคลุมเครือเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์หรือบริการ สิ่งนี้จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดยอดนิยมสำหรับธุรกิจต่างๆ ซึ่งเริ่มมาจากการที่ผู้บริโภคมีความรักษ์โลกมากขึ้น ตัวอย่างเช่น กรณีของ Singapore Grand Prix (SGP) ที่ถูกกล่าวหาเรื่อง greenwashing เมื่อผู้จัดงานอ้างว่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของพวกเขายังดำเนินการอยู่ตามที่วางแผนไว้ นักวิจารณ์ได้แย้งว่า SGP เพิกเฉยต่อปริมาณคาร์บอนจำนวนมหาศาลจากการแข่งขันรถเอง และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆเกี่ยวกับปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ถูกปล่อยจริงระหว่างการแข่งขัน “ผลิตภัณฑ์นี้ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล” “ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” “คำนึงถึงความยั่งยืน” เชื่อว่าหลายคนอาจเคยเห็นข้อความเหล่านี้ปรากฏอยู่บนชั้นวางหรือแม้แต่ป้ายของสินค้าหลาย ๆ ประเภท แน่นอนว่าข้อความเหล่านี้เป็นเพียงคำศัพท์บางส่วนที่แบรนด์หรือองค์กรต่าง ๆ นำมาใช้ในการส่งเสริม “ความรักษ์โลก” ให้กับสินค้า ด้วยเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผลสำรวจของ McKinsey ในปี 2018 พบว่า ชาวเจเนอเรชัน Z เป็นกลุ่มที่ยอมจ่ายแพงขึ้นให้กับบริษัทหรือแบรนด์ที่ดูมีจริยธรรมต่อสังคม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การยืนยันถึงความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม นอกจากจะสามารถเป็นเครื่องมือทางการตลาดอันแสนทรงพลังได้เป็นอย่างดี ก็ยังสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้อีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายแบรนด์เลือกที่จะกระโจนเข้ามาใช้/กลยุทธ์การตลาดนี้สร้างโอกาสในการขาย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าแบรนด์นั้นคำนึงถึงการรักษ์โลก และใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างที่ประกาศไว้ก็คงเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีบางบริษัทที่ทุ่มเททั้งเม็ดเงินและเวลาให้กับการทำการตลาดเพื่อที่จะประกาศว่าสินค้าหรือแบรนด์ของตนคำนึงถึงการรักษ์โลก มากกว่าที่จะลงมือทำให้เกิดความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เราเรียกเทคนิคการตลาดที่เอาคำว่า ‘สีเขียว’ มาเพื่อชุบตัวนี้ว่า “Greenwashing” หรือ “การฟอกเขียว” อย่างที่หลายคนเคยได้ยินนั่นเอง
การฟอกเขียวอาจมาจากความไม่ตั้งใจ หรือความเข้าใจผิด ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับความยั่งยืน แต่มักจะดำเนินผ่านแคมเปญการโฆษณาที่หลากหลายรูปแบบ แต่จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเข้าใจเรื่องนี้ไปอย่างผิดเท่านั้น ประเด็นคือสิ่งนี้ไม่ได้ช่วยให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและความยั่งยืนอย่างแท้จริง มากไปกว่านั้นคือปัญหาสิ่งแวดล้อมก็ยังคงอยู่ และอาจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ที่เลวร้ายก็คือการฟอกเขียวอาจทำให้คนผู้บริโภคที่มีเจตนาดี กลับไม่ได้ช่วยโลกอย่างที่หวังไว้ เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าแบรนด์นั้น ๆ รักษ์โลกอย่างที่ว่าจริงหรือไม่ ตัวอย่างสำคัญที่เห็นได้เป็นอย่างดีจากประเด็นการฟอกเขียวคือกรณีสุดอื้อฉาวของค่ายรถยนต์จากเยอรมนีอย่าง Volkswagen ที่ยอมรับว่ามีการโกงการทดสอบการปล่อยมลพิษด้วยการติดตั้งซอฟต์แวร์ช่วยลดระดับมลพิษ แต่ซอฟต์แวร์ดังกล่าวกลับทำงานเฉพาะตอนที่มีการทดสอบเท่านั้น ขณะที่แบรนด์รถหรูสัญชาติเยอรมันรายนี้กลับนำเสนอแคมเปญทางการตลาดว่ารถยนต์ของตนมีอัตราการปล่อยมลพิษต่ำ ทั้งที่ในความเป็นจริงปล่อยมลพิษอย่างไนโตรเจนออกไซด์มากกว่าที่กำหนดถึง 40 เท่า จนนำมาสู่ความเสียหายมหาศาลที่ค่ายรถยนต์รายนี้ต้องรับผิดชอบ
People Also Search
- Greenwashing เมื่อ ESG กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาด เจาะลึกปัญหาองค์กร ...
- Sustainability ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด! ด้วยกลยุทธ์ ESG
- ข้อแตกต่าง Green Marketing VS Greenwashing ยั่งยืนจริงหรือแค่หลอก
- การฟอกเขียว เรื่องที่ต้องแก้ให้ตกของ Esg
- Greenwashing ความท้าทายบนการลงทุน ESG
- Green Washing ข้อมูลอันตราย ทำลายระบบนิเวศความยั่งยืน
- Greenwashing ความท้าทายบนการลงทุน ESG - THE STANDARD
- ความยั่งยืนยังคงสำคัญ... แต่ผู้บริโภคกำลังจับตา "Greenwashing"
- 4 วิธีในการหลีกเลี่ยง Greenwashing | PAPER & PAGE
- Greenwashing กลยุทธ์การตลาดที่อาจรักษ์โลกแบบ "กลวงๆ"
เมื่อพูดถึงคำว่า Sustainability หรือ ความยั่งยืน หลายคนอาจจะนึกถึงภาพการปลูกป่า, การเก็บขยะชายหาด หรือกิจกรรม CSR สวย ๆ
เมื่อพูดถึงคำว่า Sustainability หรือ ความยั่งยืน หลายคนอาจจะนึกถึงภาพการปลูกป่า, การเก็บขยะชายหาด หรือกิจกรรม CSR สวย ๆ ที่องค์กรทำปีละครั้ง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่บอกเลยว่าในยุคนี้ ความคิดแบบนั้น “เอาท์” ไปแล้ว! Sustainability ไม่ใช่แค่เทรนด์ผ่าน ๆ หรือ “ทางเลือก” สำหรับธุรกิจที่ใจดีอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “ทางรอด” ที่สำคัญที่สุดของธุรกิจในระยะยาว เพราะในวันนี้ ทั้งผู้บริโภคยุคใหม่ และนักลงทุนทั่...
ในยุคที่ “ภาวะโลกร้อน” เป็นปัญหาสำคัญ ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น Green Marketing จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่องค์กร หรือแบรนด์ต่าง ๆ มักนำมาใช้
ในยุคที่ “ภาวะโลกร้อน” เป็นปัญหาสำคัญ ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น Green Marketing จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่องค์กร หรือแบรนด์ต่าง ๆ มักนำมาใช้ แต่หากองค์กรวางแผนกลยุทธ์อย่างไม่ระมัดระวัง จากการตลาดสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม อาจกลายเป็นการฟอกเขียว หรือ Greenwashing แทนได้ บทความนี้ SPARK Factor มีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ ข้อแตกต่าง Green Marketing VS Greenwashing ยั่งยืนจริงหรือแค่...
การฟอกเขียวมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเลือกรายงานเฉพาะข้อมูลด้านบวก การใช้ภาษาที่คลุมเครือ ไปจนถึงการตั้งเป้าหมายที่ไกลเกินจริง ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่แห่งหนึ่งประกาศว่าจะใช้ขวดพลาสติกรีไซเคิล 100% ภายในปี 2030 แต่กลับไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณพลาสติกที่ใช้ในปัจจุบัน
การฟอกเขียวมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเลือกรายงานเฉพาะข้อมูลด้านบวก การใช้ภาษาที่คลุมเครือ ไปจนถึงการตั้งเป้าหมายที่ไกลเกินจริง ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่แห่งหนึ่งประกาศว่าจะใช้ขวดพลาสติกรีไซเคิล 100% ภายในปี 2030 แต่กลับไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณพลาสติกที่ใช้ในปัจจุบัน หรือแผนการลดการใช้พลาสติกโดยรวม นี่เป็นตัวอย่างของการใช้เป้าหมายที่ฟังดูดีแต่ขาดความโปร่งใสในรายละเอียด ในภาคพลัง...
ผมเชื่อว่าผู้บริโภคยุคนี้รับรู้ได้ว่าข้อมูลแบบไหนที่เน้นขายบนความรู้สึกคนมากเกินไป และเมื่อบริษัทประพฤติไม่เหมาะสมหรือสร้างความเดือดร้อนให้ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น การรั่วไหลของน้ำมันใน Deepwater Horizon ของ BP หรือเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการรายงานข้อมูลคาร์บอนและการปล่อยมลพิษของ Volkswagen
ผมเชื่อว่าผู้บริโภคยุคนี้รับรู้ได้ว่าข้อมูลแบบไหนที่เน้นขายบนความรู้สึกคนมากเกินไป และเมื่อบริษัทประพฤติไม่เหมาะสมหรือสร้างความเดือดร้อนให้ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น การรั่วไหลของน้ำมันใน Deepwater Horizon ของ BP หรือเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการรายงานข้อมูลคาร์บอนและการปล่อยมลพิษของ Volkswagen ก็ทำให้เห็นแล้วว่า Green Wash เป็นความเสี่ยงที่ลบทุกความเชื่อมั่นจากธุรกิจ จนสร้างอิมแพคต่อเงินในกระเป๋าบริษัท สอ...
อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นพัฒนาการของหน่วยงานกำกับที่เข้ามามีบทบาทจัดการกับ Greenwashing จากความพยายามในการออกกฎเกณฑ์ ข้อกำหนดเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ เช่น การสร้าง Taxonomy หรือมาตรฐานกลางที่มีเงื่อนไขอย่างชัดเจนและโปร่งใส เพื่อนำไปใช้อ้างอิงในการช่วยจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจประเภทต่างๆ
อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นพัฒนาการของหน่วยงานกำกับที่เข้ามามีบทบาทจัดการกับ Greenwashing จากความพยายามในการออกกฎเกณฑ์ ข้อกำหนดเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ เช่น การสร้าง Taxonomy หรือมาตรฐานกลางที่มีเงื่อนไขอย่างชัดเจนและโปร่งใส เพื่อนำไปใช้อ้างอิงในการช่วยจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจประเภทต่างๆ ว่ามีผลกระทบต่อเป้าหมายด้าน ESG อย่างไร โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อมที่มีมาตรฐานออกมาชัดเจนที่สุด ตัว...