ไทยพร้อมสู่ยุคใหม่ สตาร์ทอัพไทยยุค 2025 ขับเคลื่อนด้วย Ai และ Green

Leo Migdal
-
ไทยพร้อมสู่ยุคใหม่ สตาร์ทอัพไทยยุค 2025 ขับเคลื่อนด้วย ai และ green

โดย สตาร์ทอัพ สตอรี่ | เผยแพร่: 27/7/2568 | ปรับปรุงล่าสุด: 27/7/2568 ปี 2568 เป็นปีทองของสตาร์ทอัพไทยที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Tech) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ผนวกกับการสนับสนุนจากภาครัฐและกระแสการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งภูมิภาคอย่างแท้จริง เรื่องราวของสตาร์ทอัพไทยในปี 2568 สอนให้เรารู้ว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ควบคู่ไปกับการตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและสิ่งแวดล้อม คือหนทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน. สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย หรือ “Thai Startup” จัดงาน “Thai Startup Day 2025: Pioneer the New Economy” เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปีของการก่อตั้งสมาคมฯ พร้อมเดินหน้าเสริมสร้างศักยภาพของสตาร์ตอัพไทย มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตโดยการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นแก่สตาร์ตอัพไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังปณิธานของสมาคมที่ว่า “Pioneer the New Economy” นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย กล่าวว่า “แม้ว่าสตาร์ทอัพไทยในปัจจุบันจะต้องเผชิญ กับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่เรายังเห็นการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในหลายอุตสาหกรรม ที่สามารถระดมทุนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและนวัตกรรมของผู้ประกอบการไทย ที่สามารถปรับตัวและสร้างโอกาสท่ามกลางความท้าทาย” “ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทยได้มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพไทย ผ่านการผลักดันนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ การสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับผู้ประกอบการ ผ่านภารกิจสมาคม 3 ด้าน ได้แก่ Manpower สร้างกำลังคนด้านดิจิทัล, Money การสนับสนุนด้านการเงิน และ Market การผลักดันสตาร์ตอัพไทยเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เราได้เน้นการสร้างฐานข้อมูลสตาร์ทอัพไทยอย่างเป็นระบบผ่านโครงการ Thai Startup Directory และการผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและบริษัทขนาดใหญ่” นายธนวิชญ์กล่าว

นายกสมาคมฯ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสตาร์ทอัพต่อระบบนิเวศของตลาดทุนว่า “สตาร์ทอัพเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Thai Startup Directory ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลของสตาร์ทอัพไทยได้อย่างครบถ้วน นำไปสู่การสนับสนุนและลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสตาร์ทอัพลงทะเบียนในระบบแล้วกว่า 500 ราย และเราขอเชิญชวนสตาร์ทอัพไทยทุกรายให้เข้ามาลงทะเบียน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของฐานข้อมูลที่จะช่วยให้คุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น” นายธนวิชญ์กล่าวเพิ่มเติม “แผนงานในอนาคต สมาคมจะมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้กับสมาชิก พร้อมทั้งผลักดันนโยบายที่จะช่วยลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของสตาร์ทอัพไทย เพื่อเชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ” นายธนวิชญ์กล่าวทิ้งท้าย นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย กล่าวว่า "แม้ว่าสตาร์ทอัพไทยในปัจจุบันจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่เรายังเห็นการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในหลายอุตสาหกรรม ที่สามารถระดมทุนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและนวัตกรรมของผู้ประกอบการไทยที่สามารถปรับตัวและสร้างโอกาสท่ามกลางความท้าทาย" "ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทยได้มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพไทย ผ่านการผลักดันนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ การสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับผู้ประกอบการ ผ่านภารกิจสมาคม 3 ด้าน ได้แก่ Manpower สร้างกำลังคนด้านดิจิทัล Money การสนับสนุนด้านการเงิน และ Market การผลักดันสตาร์ตอัพไทยเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เราได้เน้นการสร้างฐานข้อมูลสตาร์ทอัพไทยอย่างเป็นระบบผ่านโครงการ Thai Startup Directory และการผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและบริษัทขนาดใหญ่" นายธนวิชญ์กล่าว นายกสมาคมฯ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสตาร์ทอัพต่อระบบนิเวศของตลาดทุนว่า "สตาร์ทอัพเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Thai Startup Directory ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลของสตาร์ทอัพไทยได้อย่างครบถ้วน นำไปสู่การสนับสนุนและลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสตาร์ทอัพลงทะเบียนในระบบแล้วกว่า 500 ราย และเราขอเชิญชวนสตาร์ทอัพไทยทุกรายให้เข้ามาลงทะเบียน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของฐานข้อมูลที่จะช่วยให้คุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น" นายธนวิชญ์กล่าวเพิ่มเติม "แผนงานในอนาคต สมาคมจะมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้กับสมาชิก พร้อมทั้งผลักดันนโยบายที่จะช่วยลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของสตาร์ทอัพไทย เพื่อเชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ" นายธนวิชญ์กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับงาน Thai Startup Day 2025: Pioneer the New Economy เป็นการรวบรวมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายอุตสาหกรรมมาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ทั้งผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญในวงการ อาทิ นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ และ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด นายจักรชัย บุญยะวัตร ผู้จัดการกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่... Ltd. นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai และอีกมากมาย ซึ่งสร้างความเข้าใจเชิงลึกในหลากหลายแง่มุมที่คนทำสตาร์ทอัพต้องรู้ ไม่ว่าจะเป็น New Generation of Thai Startup Thai Startup to Global The Way of Unicorn และจุดประกายแนวคิดให้แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจในแวดวงสตาร์ทอัพเป็นอย่างมาก กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ปี 2025 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายและโอกาสของ สตาร์ทอัพไทย ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คาดการณ์ว่ามูลค่าจะพุ่งสูงถึง 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีนวัตกรรมด้านฟินเทคและอีคอมเมิร์ซเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าสตาร์ทอัพไทยในกลุ่มฟินเทคและอีคอมเมิร์ซ มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีผู้เล่นสำคัญหลายรายที่น่าจับตามอง เช่น Ascend Money ผู้ให้บริการ TrueMoney Wallet ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับสถานะ Unicorn ในปี 2021 ล่าสุด Ascend Money ประสบความสำเร็จในการระดมทุน Series D มูลค่า 195 ล้านดอลลาร์ นำโดย MUFG Bank และ Finnoventure Private Equity Trust I สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพของบริษัท นอกจากนี้ ยังมี Beam ผู้ให้บริการระบบชำระเงินแบบ One-Click Checkout ที่ได้รับเงินทุน Series B มูลค่า 93 ล้านดอลลาร์ จาก Affirma Capital และ Sequoia Capital India รวมถึง Jitta แพลตฟอร์ม Robo-Advisory ชั้นนำ ที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์หุ้นกว่า 48,000 บริษัททั่วโลก และให้คำแนะนำในการลงทุน Jitta ระดมทุน Pre-Series...

ในส่วนของ Finnomena แพลตฟอร์ม P2P Lending ที่เชื่อมโยงผู้กู้และผู้ให้กู้ โดดเด่นด้วยระบบอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็วผ่าน AI ก็ได้รับเงินทุน Series B+ มูลค่า 5.5 ล้านดอลลาร์ จาก Openspace Ventures, Finnoventure Private Equity Trust และ Gobi Partners นอกจากกลุ่มฟินเทคและอีคอมเมิร์ซ ยังมีสตาร์ทอัพไทยในกลุ่มอื่นๆ ที่น่าจับตามอง เช่น DataScale สตาร์ทอัพด้าน Big Data Analytics ที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ SunSawang สตาร์ทอัพด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มุ่งขยายการเข้าถึงพลังงานสะอาดในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย Eatigo แพลตฟอร์มจองร้านอาหาร ที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 50% ในช่วงเวลา Off-Peak และ Opn แพลตฟอร์มระบบการชำระเงินออนไลน์สำหรับธุรกิจ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับชำระเงิน เสียงเตือนถึงอนาคตสตาร์ตอัพไทยดังขึ้น หลังการรับรู้ในเวทีภูมิภาคซบเซา ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐระดมสมองในงาน THAI STARTUP DAY 2025 ชี้เป้าปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ พร้อมอัดฉีดกลไกสนับสนุนชุดใหม่ หวังพลิกเกมขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก ประเด็นสำคัญนี้ถูกจุดประกายขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าสตาร์ตอัพไทยดูเหมือนจะ “หายไปจากเรดาร์” ในงานเสวนาระดับภูมิภาค โดยการอภิปรายได้มุ่งเน้นไปที่การที่สตาร์ตอัพไทยได้รับการกล่าวถึงน้อยลง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยี (Tech Hub) อินโดนีเซียที่ถูกมองว่าเป็นตลาดดาวรุ่ง (Next China) หรือฟิลิปปินส์ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตลาดที่เติบโตตามมา (Next Indonesia) ไปยดา หาญชัยสุขสกุล ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากจำนวนสตาร์ตอัพไทยในกลุ่มเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ที่ยังมีสัดส่วนน้อย ประกอบกับช่องว่างในการนำผลงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) สตาร์ตอัพไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน (Application) มากกว่าการมุ่งเน้นเทคโนโลยีแกนหลัก ซึ่งอาจส่งผลต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ไปยดากล่าวว่า สตาร์ตอัพไม่จำเป็นต้องเป็น Deep Tech เสมอไป หากมีคุณค่า (Value) และศักยภาพในการขยายสู่ตลาดโลก (Global Platform) ก็สามารถเป็นจุดแข็งได้ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle-Income Trap) ซึ่งการจะก้าวข้ามได้ต้องอาศัยแบรนด์ที่แข็งแกร่งหรือนวัตกรรมระดับสูง ดร.ชินาวุธกล่าวว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ “ความเสี่ยง” (Risk) ทั้งในมิติของ “ทุนที่พร้อมรับความเสี่ยง” (Risk Capital) ที่ยังไม่เพียงพอ และกรอบความคิดของสังคมและภาครัฐที่ยังคง “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” (Risk Averse) ขาดความเข้าใจในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีพอ ดังเช่นทัศนคติ “เงินรัฐตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” หรือความกังวลต่อการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม

ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวว่า การรับรู้ต่อสตาร์ตอัพไทยในระดับภูมิภาคที่ต่ำนั้นเป็นปัญหาที่มีมานาน ประเทศไทยมักถูกมองว่า “ดีแต่ยังไม่ถึงที่สุด” คือมีตลาดที่ใหญ่พอสำหรับการเริ่มต้น แต่เล็กเกินไปสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปริวรรตได้ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ใช้ตลาดทุนนำ มีการใช้ Matching Fund ในสัดส่วน 7 ต่อ 3 เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Venture Capital อย่างจริงจัง ขณะที่อินโดนีเซียมีตลาดภายในขนาดใหญ่ แม้จะมีความสนใจจากต่างชาติ แต่อุปสรรค (Barrier) บางประการยังคงอยู่ ทำให้เกิดสภาวะ “ไก่กับไข่” ที่การขาดการยอมรับในระดับสากล (International Presence)... May 13, 2025 Event, IT Seminars and Training งาน CEDT Innovation Summit 2025 ได้ปิดฉากลงอย่างสวยงามเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ณ ศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคักและความมุ่งมั่นของผู้เข้าร่วมงานที่ต่างมารวมตัวกันเพื่อร่วมผลักดันและส่งเสริมศักยภาพของนักนวัตกรรุ่นใหม่ของไทย งานในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากเหล่าสปอนเซอร์ผู้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์อนาคตที่สดใสให้กับวงการสตาร์ทอัพไทย โดยมี Bangkok Bank ในฐานะพาร์ทเนอร์ระดับ Diamond เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรระดับ Platinum ที่ร่วมจัดแสดงบูธและนำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชันอันล้ำสมัย ได้แก่ Nipa.Cloud ผู้ให้บริการ Cloud Infrastructure ชั้นนำของไทย, Huawei Thailand ผู้ให้บริการโซลูชั่น ICT ระดับโลก, Krungthai Care จากธนาคารกรุงไทยที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต, B2S Thailand แหล่งรวมความรู้และความคิดสร้างสรรค์, และ Soft Square Group ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางระบบและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ ขณะเดียวกัน ยังมีพันธมิตรระดับ Gold ที่เข้าร่วมสนับสนุนและสร้างสีสันให้กับงานอย่างหลากหลาย อาทิ DevCommu, Interpass, CUCA, ATTRA INTER GROUP, Transcosmos Thailand, Dime!, Bitkub, OpenMirai, Bot and Life, และ Mitr Phol Group เป็นต้น การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมืออันแข็งแกร่งในการส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศไทย

สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย จัดงาน "Thai Startup Day 2025: Pioneer the New Economy" ฉลองครบรอบ 11 ปี นำพาประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ที่ยั่งยืน 23 พฤษภาคม 2568, กรุงเทพฯ - สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย หรือ “Thai Startup” จัดงาน "Thai Startup Day 2025: Pioneer the New Economy" เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปีของการก่อตั้งสมาคมฯ พร้อมเดินหน้าเสริมสร้างศักยภาพของสตาร์ตอัพไทย มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตโดยการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นแก่สตาร์ตอัพไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังปณิธานของสมาคมที่ว่า “Pioneer the New Economy” นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย กล่าวว่า "แม้ว่าสตาร์ทอัพไทยในปัจจุบันจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่เรายังเห็นการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในหลายอุตสาหกรรม ที่สามารถระดมทุนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและนวัตกรรมของผู้ประกอบการไทยที่สามารถปรับตัวและสร้างโอกาสท่ามกลางความท้าทาย" "ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทยได้มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพไทย ผ่านการผลักดันนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ การสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับผู้ประกอบการ ผ่านภารกิจสมาคม 3 ด้าน ได้แก่ Manpower สร้างกำลังคนด้านดิจิทัล, Money การสนับสนุนด้านการเงิน และ Market การผลักดันสตาร์ตอัพไทยเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เราได้เน้นการสร้างฐานข้อมูลสตาร์ทอัพไทยอย่างเป็นระบบผ่านโครงการ Thai Startup Directory และการผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและบริษัทขนาดใหญ่" นายธนวิชญ์กล่าว นายกสมาคมฯ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสตาร์ทอัพต่อระบบนิเวศของตลาดทุนว่า "สตาร์ทอัพเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Thai Startup Directory ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลของสตาร์ทอัพไทยได้อย่างครบถ้วน นำไปสู่การสนับสนุนและลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสตาร์ทอัพลงทะเบียนในระบบแล้วกว่า 500 ราย และเราขอเชิญชวนสตาร์ทอัพไทยทุกรายให้เข้ามาลงทะเบียน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของฐานข้อมูลที่จะช่วยให้คุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น" นายธนวิชญ์กล่าวเพิ่มเติม สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย หรือ “Thai Startup” จัดงาน "Thai Startup Day 2025: Pioneer the New Economy" เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปีของการก่อตั้งสมาคมฯ พร้อมเดินหน้าเสริมสร้างศักยภาพของสตาร์ตอัพไทย มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตโดยการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นแก่สตาร์ตอัพไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังปณิธานของสมาคมที่ว่า “Pioneer the New Economy”

นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย กล่าวว่า "แม้ว่าสตาร์ทอัพไทยในปัจจุบันจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่เรายังเห็นการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในหลายอุตสาหกรรม ที่สามารถระดมทุนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและนวัตกรรมของผู้ประกอบการไทยที่สามารถปรับตัวและสร้างโอกาสท่ามกลางความท้าทาย" "ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทยได้มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพไทย ผ่านการผลักดันนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ การสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับผู้ประกอบการ ผ่านภารกิจสมาคม 3 ด้าน ได้แก่ Manpower สร้างกำลังคนด้านดิจิทัล, Money การสนับสนุนด้านการเงิน และ Market การผลักดันสตาร์ตอัพไทยเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เราได้เน้นการสร้างฐานข้อมูลสตาร์ทอัพไทยอย่างเป็นระบบผ่านโครงการ Thai Startup Directory และการผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและบริษัทขนาดใหญ่" นายธนวิชญ์กล่าว นายกสมาคมฯ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสตาร์ทอัพต่อระบบนิเวศของตลาดทุนว่า "สตาร์ทอัพเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Thai Startup Directory ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลของสตาร์ทอัพไทยได้อย่างครบถ้วน นำไปสู่การสนับสนุนและลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสตาร์ทอัพลงทะเบียนในระบบแล้วกว่า 500 ราย และเราขอเชิญชวนสตาร์ทอัพไทยทุกรายให้เข้ามาลงทะเบียน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของฐานข้อมูลที่จะช่วยให้คุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น" นายธนวิชญ์กล่าวเพิ่มเติม "แผนงานในอนาคต สมาคมจะมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้กับสมาชิก พร้อมทั้งผลักดันนโยบายที่จะช่วยลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของสตาร์ทอัพไทย เพื่อเชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ" นายธนวิชญ์กล่าวทิ้งท้าย โดย สตาร์ทอัพ สตอรี่ | เผยแพร่: 27/7/2568 | ปรับปรุงล่าสุด: 27/7/2568 ภาพรวมการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในปี 2567-2568 ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI, ความยั่งยืน และ FinTech พร้อมวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาสสำคัญ

AI กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่การบริการลูกค้าไปจนถึงการผลิตและสุขภาพ [6, 10, 11, 20, 24] สตาร์ทอัพไทยกำลังใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะ Generative AI และ AI Agentic Systems ที่มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้ด้วยตนเอง [10, 11] การลงทุนในศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ที่เพิ่มขึ้นยังช่วยสนับสนุนการเติบโตของภาค AI อีกด้วย [10, 11, 20] #### 2. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Tech) ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นทำให้สตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นพลังงานหมุนเวียน การจัดการของเสีย และเกษตรกรรมที่ยั่งยืนได้รับความสนใจมากขึ้น [3, 5, 7, 10, 11, 14] ภาครัฐเองก็กำลังเร่งส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียว โดยมีเป้าหมายในการพัฒนายูนิคอร์น (Unicorns) ที่สามารถแข่งขันในระดับสากลได้ [7] ตลาดเทคโนโลยีสีเขียวคาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า [7]

People Also Search

โดย สตาร์ทอัพ สตอรี่ | เผยแพร่: 27/7/2568 | ปรับปรุงล่าสุด: 27/7/2568 ปี

โดย สตาร์ทอัพ สตอรี่ | เผยแพร่: 27/7/2568 | ปรับปรุงล่าสุด: 27/7/2568 ปี 2568 เป็นปีทองของสตาร์ทอัพไทยที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Tech) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ผนวกกับการสนับสนุนจากภาครัฐและกระแสการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งภูมิภาคอย่างแท้จริง เรื่องราวของสตาร์ทอัพไทยในปี 2568 สอนให้เรารู้ว่า ท่าม...

นายกสมาคมฯ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสตาร์ทอัพต่อระบบนิเวศของตลาดทุนว่า “สตาร์ทอัพเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Thai

นายกสมาคมฯ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสตาร์ทอัพต่อระบบนิเวศของตลาดทุนว่า “สตาร์ทอัพเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Thai Startup Directory ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนเข้าใ...

สำหรับงาน Thai Startup Day 2025: Pioneer The New Economy เป็นการรวบรวมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายอุตสาหกรรมมาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์

สำหรับงาน Thai Startup Day 2025: Pioneer the New Economy เป็นการรวบรวมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายอุตสาหกรรมมาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ทั้งผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญในวงการ อาทิ นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ และ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไลฟ์ฟินคอ...

ในส่วนของ Finnomena แพลตฟอร์ม P2P Lending ที่เชื่อมโยงผู้กู้และผู้ให้กู้ โดดเด่นด้วยระบบอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็วผ่าน AI ก็ได้รับเงินทุน Series

ในส่วนของ Finnomena แพลตฟอร์ม P2P Lending ที่เชื่อมโยงผู้กู้และผู้ให้กู้ โดดเด่นด้วยระบบอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็วผ่าน AI ก็ได้รับเงินทุน Series B+ มูลค่า 5.5 ล้านดอลลาร์ จาก Openspace Ventures, Finnoventure Private Equity Trust และ Gobi Partners นอกจากกลุ่มฟินเทคและอีคอมเมิร์ซ ยังมีสตาร์ทอัพไทยในกลุ่มอื่นๆ ที่น่าจับตามอง เช่น DataScale สตาร์ทอัพด้าน Big Data Analytics ที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการแ...

ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวว่า การรับรู้ต่อสตาร์ตอัพไทยในระดับภูมิภาคที่ต่ำนั้นเป็นปัญหาที่มีมานาน ประเทศไทยมักถูกมองว่า “ดีแต่ยังไม่ถึงที่สุด”

ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวว่า การรับรู้ต่อสตาร์ตอัพไทยในระดับภูมิภาคที่ต่ำนั้นเป็นปัญหาที่มีมานาน ประเทศไทยมักถูกมองว่า “ดีแต่ยังไม่ถึงที่สุด” คือมีตลาดที่ใหญ่พอสำหรับการเริ่มต้น แต่เล็กเกินไปสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปริวรรตได้ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ใช้ตลาดทุนนำ มีการใช้ Matching Fund ในสัดส่วน 7 ต่อ 3 เพื่อสร้างอุตสาหกร...