จับตา อนาคต สตาร์ทอัพไทย ในปี 2025 เดินหน้าท้าทายสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ปี 2025 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายและโอกาสของ สตาร์ทอัพไทย ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คาดการณ์ว่ามูลค่าจะพุ่งสูงถึง 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีนวัตกรรมด้านฟินเทคและอีคอมเมิร์ซเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าสตาร์ทอัพไทยในกลุ่มฟินเทคและอีคอมเมิร์ซ มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีผู้เล่นสำคัญหลายรายที่น่าจับตามอง เช่น Ascend Money ผู้ให้บริการ TrueMoney Wallet ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับสถานะ Unicorn ในปี 2021 ล่าสุด Ascend Money ประสบความสำเร็จในการระดมทุน Series D มูลค่า 195 ล้านดอลลาร์ นำโดย MUFG Bank และ Finnoventure Private Equity Trust I สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพของบริษัท นอกจากนี้ ยังมี Beam ผู้ให้บริการระบบชำระเงินแบบ One-Click Checkout ที่ได้รับเงินทุน Series B มูลค่า 93 ล้านดอลลาร์ จาก Affirma Capital และ Sequoia Capital India รวมถึง Jitta แพลตฟอร์ม Robo-Advisory ชั้นนำ ที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์หุ้นกว่า 48,000 บริษัททั่วโลก และให้คำแนะนำในการลงทุน Jitta ระดมทุน Pre-Series... ในส่วนของ Finnomena แพลตฟอร์ม P2P Lending ที่เชื่อมโยงผู้กู้และผู้ให้กู้ โดดเด่นด้วยระบบอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็วผ่าน AI ก็ได้รับเงินทุน Series B+ มูลค่า 5.5 ล้านดอลลาร์ จาก Openspace Ventures, Finnoventure Private Equity Trust และ Gobi Partners นอกจากกลุ่มฟินเทคและอีคอมเมิร์ซ ยังมีสตาร์ทอัพไทยในกลุ่มอื่นๆ ที่น่าจับตามอง เช่น DataScale สตาร์ทอัพด้าน Big Data Analytics ที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ SunSawang สตาร์ทอัพด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มุ่งขยายการเข้าถึงพลังงานสะอาดในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย Eatigo แพลตฟอร์มจองร้านอาหาร ที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 50% ในช่วงเวลา Off-Peak และ Opn แพลตฟอร์มระบบการชำระเงินออนไลน์สำหรับธุรกิจ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับชำระเงิน โดย สตาร์ทอัพ สตอรี่ | เผยแพร่: 27/7/2568 | ปรับปรุงล่าสุด: 27/7/2568
ภาพรวมการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในปี 2567-2568 ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI, ความยั่งยืน และ FinTech พร้อมวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาสสำคัญ AI กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่การบริการลูกค้าไปจนถึงการผลิตและสุขภาพ [6, 10, 11, 20, 24] สตาร์ทอัพไทยกำลังใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะ Generative AI และ AI Agentic Systems ที่มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้ด้วยตนเอง [10, 11] การลงทุนในศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ที่เพิ่มขึ้นยังช่วยสนับสนุนการเติบโตของภาค AI อีกด้วย [10, 11, 20] #### 2. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Tech) ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นทำให้สตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นพลังงานหมุนเวียน การจัดการของเสีย และเกษตรกรรมที่ยั่งยืนได้รับความสนใจมากขึ้น [3, 5, 7, 10, 11, 14] ภาครัฐเองก็กำลังเร่งส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียว โดยมีเป้าหมายในการพัฒนายูนิคอร์น (Unicorns) ที่สามารถแข่งขันในระดับสากลได้ [7] ตลาดเทคโนโลยีสีเขียวคาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า [7] ความผันผวนของธุรกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล ที่ผู้ประกอบการ StartUp ต้องรีบตามให้ทัน AIS The StartUp รวบรวมเทรนด์ที่น่าสนใจในปี 2025 ที่หลาย ๆ ธุรกิจต้องรีบปรับตัวพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง จะมีเทรนด์อะไรบ้างไปดูกัน
เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ความแม่นยำและความยั่งยืนในกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อาหาร เทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามาช่วย Startup Thailand ในการลดต้นทุนและการสูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น ช่วยควบคุมและปรับปรุงทุกขั้นตอน ตั้งแต่การมองหาวัตถุดิบจนไปถึงการส่งสินค้า ตัวอย่างของ Manufacturing and Supply Chain Tech ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการ Startup นำไปปรับและพัฒนาธุรกิจของตัวเองได้ ที่ช่วยให้ธุรกิจ Transformation ได้ยั่งยืน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ช่วยให้ผู้ประกอบ Startup บริหารธุรกิจในการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว รวบรวมสถิติต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค แต่ AI ก็มาพร้อมภัยอันตรายที่ผู้ประกอบการต้องระวัง Scammer จากข้อมูลจากการประมวลผลที่ผิดพลาด ผู้ประกอบการต้องศึกษาและใช้งานอย่างระมัดระวังและมีความรับผิดชอบ เพื่อให้การบริหารธุรกิจดำเนินไปได้ถูกต้อง Startup Thailand จะต้องมีทักษะอะไรบ้างถึงจะทำให้ธุรกิจเติบโตในยุคนี้ AI Literacy คือ ความฉลาดรู้ทาง AI ที่ต้องรู้ Startup ต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟังก์ชันการทำงานของ AI เพื่อการใช้งานอย่างสร้างสรรค์และจริยธรรมการใช้งาน Responsible AI แนวทางการพัฒนาการใช้งาน AI ให้เป็นไปตามจริยธรรม สังคม และกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ธุรกิจ เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจาก AI และรับผิดชอบต่อสังคม สรุปข้อมูลหลังจากทีมเทคซอสร่วมล้อมวงพูดคุยกับ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA และ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA ทั้งภาพรวมการเติบโตของระบบนิเวศสตาร์ทอัพในประเทศไทย เทรนด์การเติบโตของสตาร์ทอัพในปี 2025 พร้อมเผยแนวทางสนับสนุน Deep Tech เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้ประเทศและทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัว ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ให้ข้อมูลในภาพรวมของสตาร์ทอัพในประเทศไทยและตัวเลขการเติบโต ซึ่งตอกย้ำว่า ไทยเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งของโลก ดังนี้
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA และ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA ดร.กริชผกาถึงปี 2025 ว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของธุรกิจสตาร์ทอัพ จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ พฤติกรรมการบริโภค คลื่นเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงมิติด้าน Data Center ที่ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการลงทุน ทั้งจากผู้เล่นไทยและระดับโลก 3 ปีที่ผ่านมาขนาด Data Center ของไทยเติบโตกว่าร้อยละ 54 เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย และคาดการณ์ว่าปี 2024 – 2027 ประเทศไทยน่าจะสามารถดึงดูดการลงทุน Data Center ได้เป็นมูลค่าประมาณ 2.6 แสนล้านบาท เสียงเตือนถึงอนาคตสตาร์ตอัพไทยดังขึ้น หลังการรับรู้ในเวทีภูมิภาคซบเซา ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐระดมสมองในงาน THAI STARTUP DAY 2025 ชี้เป้าปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ พร้อมอัดฉีดกลไกสนับสนุนชุดใหม่ หวังพลิกเกมขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก ประเด็นสำคัญนี้ถูกจุดประกายขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าสตาร์ตอัพไทยดูเหมือนจะ “หายไปจากเรดาร์” ในงานเสวนาระดับภูมิภาค โดยการอภิปรายได้มุ่งเน้นไปที่การที่สตาร์ตอัพไทยได้รับการกล่าวถึงน้อยลง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยี (Tech Hub) อินโดนีเซียที่ถูกมองว่าเป็นตลาดดาวรุ่ง (Next China) หรือฟิลิปปินส์ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตลาดที่เติบโตตามมา (Next Indonesia) ไปยดา หาญชัยสุขสกุล ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากจำนวนสตาร์ตอัพไทยในกลุ่มเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ที่ยังมีสัดส่วนน้อย ประกอบกับช่องว่างในการนำผลงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) สตาร์ตอัพไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน (Application) มากกว่าการมุ่งเน้นเทคโนโลยีแกนหลัก ซึ่งอาจส่งผลต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ไปยดากล่าวว่า สตาร์ตอัพไม่จำเป็นต้องเป็น Deep Tech เสมอไป หากมีคุณค่า (Value) และศักยภาพในการขยายสู่ตลาดโลก (Global Platform) ก็สามารถเป็นจุดแข็งได้
ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle-Income Trap) ซึ่งการจะก้าวข้ามได้ต้องอาศัยแบรนด์ที่แข็งแกร่งหรือนวัตกรรมระดับสูง ดร.ชินาวุธกล่าวว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ “ความเสี่ยง” (Risk) ทั้งในมิติของ “ทุนที่พร้อมรับความเสี่ยง” (Risk Capital) ที่ยังไม่เพียงพอ และกรอบความคิดของสังคมและภาครัฐที่ยังคง “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” (Risk Averse) ขาดความเข้าใจในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีพอ ดังเช่นทัศนคติ “เงินรัฐตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” หรือความกังวลต่อการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวว่า การรับรู้ต่อสตาร์ตอัพไทยในระดับภูมิภาคที่ต่ำนั้นเป็นปัญหาที่มีมานาน ประเทศไทยมักถูกมองว่า “ดีแต่ยังไม่ถึงที่สุด” คือมีตลาดที่ใหญ่พอสำหรับการเริ่มต้น แต่เล็กเกินไปสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปริวรรตได้ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ใช้ตลาดทุนนำ มีการใช้ Matching Fund ในสัดส่วน 7 ต่อ 3 เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Venture Capital อย่างจริงจัง ขณะที่อินโดนีเซียมีตลาดภายในขนาดใหญ่ แม้จะมีความสนใจจากต่างชาติ แต่อุปสรรค (Barrier) บางประการยังคงอยู่ ทำให้เกิดสภาวะ “ไก่กับไข่” ที่การขาดการยอมรับในระดับสากล (International Presence)... สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย หรือ “Thai Startup” จัดงาน “Thai Startup Day 2025: Pioneer the New Economy” เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปีของการก่อตั้งสมาคมฯ พร้อมเดินหน้าเสริมสร้างศักยภาพของสตาร์ตอัพไทย มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตโดยการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นแก่สตาร์ตอัพไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังปณิธานของสมาคมที่ว่า “Pioneer the New Economy” นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย กล่าวว่า “แม้ว่าสตาร์ทอัพไทยในปัจจุบันจะต้องเผชิญ กับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่เรายังเห็นการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในหลายอุตสาหกรรม ที่สามารถระดมทุนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและนวัตกรรมของผู้ประกอบการไทย ที่สามารถปรับตัวและสร้างโอกาสท่ามกลางความท้าทาย” “ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทยได้มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพไทย ผ่านการผลักดันนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ การสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับผู้ประกอบการ ผ่านภารกิจสมาคม 3 ด้าน ได้แก่ Manpower สร้างกำลังคนด้านดิจิทัล, Money การสนับสนุนด้านการเงิน และ Market การผลักดันสตาร์ตอัพไทยเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เราได้เน้นการสร้างฐานข้อมูลสตาร์ทอัพไทยอย่างเป็นระบบผ่านโครงการ Thai Startup Directory และการผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและบริษัทขนาดใหญ่” นายธนวิชญ์กล่าว นายกสมาคมฯ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสตาร์ทอัพต่อระบบนิเวศของตลาดทุนว่า “สตาร์ทอัพเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Thai Startup Directory ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนเข้าใจและเข้าถึงข้อมูลของสตาร์ทอัพไทยได้อย่างครบถ้วน นำไปสู่การสนับสนุนและลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสตาร์ทอัพลงทะเบียนในระบบแล้วกว่า 500 ราย และเราขอเชิญชวนสตาร์ทอัพไทยทุกรายให้เข้ามาลงทะเบียน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของฐานข้อมูลที่จะช่วยให้คุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น” นายธนวิชญ์กล่าวเพิ่มเติม
“แผนงานในอนาคต สมาคมจะมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้กับสมาชิก พร้อมทั้งผลักดันนโยบายที่จะช่วยลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของสตาร์ทอัพไทย เพื่อเชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ” นายธนวิชญ์กล่าวทิ้งท้าย โดย สตาร์ทอัพ สตอรี่ | เผยแพร่: 27/7/2568 | ปรับปรุงล่าสุด: 27/7/2568 ปี 2568 เป็นปีทองของสตาร์ทอัพไทยที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Tech) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ผนวกกับการสนับสนุนจากภาครัฐและกระแสการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งภูมิภาคอย่างแท้จริง เรื่องราวของสตาร์ทอัพไทยในปี 2568 สอนให้เรารู้ว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ควบคู่ไปกับการตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและสิ่งแวดล้อม คือหนทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน.
People Also Search
- จับตา อนาคต สตาร์ทอัพไทย ในปี 2025 เดินหน้าท้าทายสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
- 'Ai' ไทยยังร้อนแรง จับตา! สตาร์ทอัพแซงองค์กรใหญ่ในสนามนวัตกรรม
- สตาร์ทอัพไทยปี 2567-2568: ก้าวกระโดดด้วย Ai และความยั่งยืน ท่ามกลางการ ...
- 3 Trends 2025 ที่ผู้ประกอบการ StartUP ไม่ตามระวังตกขบวน!
- Nia เปิดข้อมูลระบบนิเวศสตาร์ทอัพ รับเทรนด์เติบโต 2025 และการจัดหาสเปซ ...
- อนาคตสตาร์ตอัพไทย? รัฐเร่งเครื่อง ปรับกลยุทธ์-อัดฉีดทุน
- NIA แนะสตาร์ทอัพ ชี้ 3 เทรนด์อุตสาหกรรมน่าลงทุน - sdggo.com
- Thailand Startup 2024 Wrapped
- สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทยจัดงาน "Thai Startup Day 2025: Pioneer the New ...
- ไทยพร้อมสู่ยุคใหม่: สตาร์ทอัพไทยยุค 2025 ขับเคลื่อนด้วย AI และ Green ...
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ปี 2025 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายและโอกาสของ สตาร์ทอัพไทย ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คาดการณ์ว่ามูลค่าจะพุ่งสูงถึง
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ปี 2025 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายและโอกาสของ สตาร์ทอัพไทย ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คาดการณ์ว่ามูลค่าจะพุ่งสูงถึง 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีนวัตกรรมด้านฟินเทคและอีคอมเมิร์ซเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศู...
ภาพรวมการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในปี 2567-2568 ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI, ความยั่งยืน และ FinTech พร้อมวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาสสำคัญ AI กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ
ภาพรวมการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยในปี 2567-2568 ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI, ความยั่งยืน และ FinTech พร้อมวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาสสำคัญ AI กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่การบริการลูกค้าไปจนถึงการผลิตและสุขภาพ [6, 10, 11, 20, 24] สตาร์ทอัพไทยกำลังใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะ Generative AI และ AI Agentic Systems ที่มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และตัดสิ...
เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ความแม่นยำและความยั่งยืนในกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อาหาร เทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามาช่วย Startup Thailand ในการลดต้นทุนและการสูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น ช่วยควบคุมและปรับปรุงทุกขั้นตอน ตั้งแต่การมองหาวัตถุดิบจนไปถึงการส่งสินค้า ตัวอย่างของ Manufacturing
เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ความแม่นยำและความยั่งยืนในกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อาหาร เทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามาช่วย Startup Thailand ในการลดต้นทุนและการสูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น ช่วยควบคุมและปรับปรุงทุกขั้นตอน ตั้งแต่การมองหาวัตถุดิบจนไปถึงการส่งสินค้า ตัวอย่างของ Manufacturing and Supply Chain Tech ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการ Startup นำไปปรับและพัฒนาธุรกิจของตัวเองได้ ที่ช่...
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA และ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA และ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA ดร.กริชผกาถึงปี 2025 ว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของธุรกิจสตาร์ทอัพ จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ พฤติกรรมการบริโภค คลื่นเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงมิติด้าน Data Center ที่ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการลงทุน ทั้งจากผู้เล่นไทยและระดับโลก 3 ปีที่ผ่านมาขนาด Data Cen...
ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle-Income Trap)
ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle-Income Trap) ซึ่งการจะก้าวข้ามได้ต้องอาศัยแบรนด์ที่แข็งแกร่งหรือนวัตกรรมระดับสูง ดร.ชินาวุธกล่าวว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ “ความเสี่ยง” (Risk) ทั้งในมิติของ “ทุนที่พร้อมรับความเสี่ยง” (Risk Capital) ที่ยังไม่เพียงพอ และกรอบความคิดของสังคมและภาครัฐที่ยังค...